ข่าว

เช็คเงื่อนไข "บริจาคร่างกาย" ร่างแบบไหนนำไปใช้ได้ แบบไหนไม่เข้าเกณฑ์

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เช็คเงื่อนไขการ "บริจาคร่างกาย" ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร และหลังเสียชีวิตสภาพศพต้องห้ามมีลักษณะแบบไหนจึงจะสามารถส่งต่อศพให้นักศึกษาแพทย์ได้

จากกรณีเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่  "อิแทวอน" เกาหลีใต้ในคืนฮาโลวีนซึ่งมีผู้คนจำนวนมากเบียด เสียด จนล้มเป็นโดมิโน่ ส่งผลให้ผู้คนที่อยู่ในตรอกเล็ก ๆ เกิด ภาวะขาดอากาศหายใจ จนเสียชีวิต โดยล่าสุด แม่ของเหยื่อ อิแทวอน ได้เปิดเผยว่าลูกสาวทำเรื่องบริจาคร่างกายไว้ แต่ไม่สามารถทำได้  เนื่องจากอวัยวะลูกสาวของเธอ เกิดความเสียหายร้ายแรง โดยวันนี้  "คมชัดลึกออนไลน์" ได้รวบรวมเงื่อนไข และขั้นตอนการบริจาคร่างกาย โดยสามารถสรุปได้ดังนี้ 

การบริจาคอวัยวะ หรือ "บริจาคร่างกาย" ที่ยังมีสภาพสมบูรณ์เพื่อใช้ในการปลูกถ่ายอวัยวะให้แก่ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีอื่น หรือเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย อาจได้จากอวัยวะของผู้มีจิตศรัทธาซึ่งได้แสดงเจตนารมณ์ในการบริจาคอวัยวะเอาไว้ หรือได้จากญาติที่มีความประสงค์จะบริจาค

 

ซึ่งการบริจาคอวัยวะถือ หรือ "บริจาคร่างกาย" เป็นการสร้างประโยชน์และความสุขอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เรียกได้ว่าเป็นการให้ชีวิตใหม่ ให้ผู้ป่วยได้กลับคืนสู่สังคมด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี  รวมทั้งยังสามารถนำร่างไปให้นักษาแพทย์ทำการศึกษาต่อไป 

โรงพยาบาลแต่ละแห่ง จะมีรายละเอียดการบริจาคร่างกายแตกต่างกันไป โดย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย ระบุ รายละะเอียด เงื่อนไข "บริจาคร่างกาย" ดังนี้

 

คุณสมบัติผู้บริจาคอวัยวะ หรือ "บริจาคร่างกาย"  โดยทั่วไปมีรายละเอียด ดังนี้

  • อายุไม่เกิน 65 ปี
  • เสียชีวิตจากภาวะสมองตาย
  • ปราศจากโรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง
  • ไม่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, หัวใจ, โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ และไม่ติดสุรา
  • อวัยวะที่จะบริจาคต้องทำงานได้ดี
  • ปราศจากเชื้อที่ถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ไวรัสเอดส์ ฯลฯ 
  • ควรแจ้งเรื่องการบริจาคอวัยวะให้บุคคลในครอบครัวหรือญาติรับทราบด้วย


ด้านภาควิชากายวิภาค คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาลศิริราช  ระบุข้อมูลเพิ่มเติม 

วัตถุประสงค์ของการบริจาคร่างกาย

  • เพื่อให้นักศึกษาแพทย์นำไปศึกษา หรือที่เรียกว่าเป็น "อาจารย์ใหญ่"
  • เพื่อให้แพทย์เฉพาะทางได้ฝึกผ่าตัด
  • เพื่อทำการวิจัยทางภายวิภาคศาสตร์ 
     

การ "บริจาคร่างกาย" แยกออกเป็น 3 แบบ

แบบที่ 1 บริจาคเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษา

- ขณะเสียชีวิตอายุต้องไม่เกิน 80 ปี น้ำหนักโดยประมาณไม่ต่ำกว่า 40 กิโลกรัม
- ไม่เป็นศพเกี่ยวกับคดี
- ไม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง, โรคไต, โรคเบาหวาน และอุบัติเหตุ
- ไม่เป็นศพที่มีสภาพไม่เหมาะสม เช่น ศพเน่าเปื่อย อวัยวะขาดหายไปไม่ครบสมบูรณ์ ยกเว้นกรณีบริจาคดวงตา


แบบที่ 2 บริจาคเพื่อให้แพทย์เฉพาะทางฝึกผ่าตัด

- ไม่เคยผ่าตัดบริเวณข้อต่อต่างๆ
- เมื่อเสียชีวิต ญาติต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ภาควิชาฯ ให้มารับศพทันที
- ให้ญาติตัดผม และเล็บของศพใส่โลงเพื่อสวดทำบุญ
- ไม่ฉีดยารักษาศพ

 

แบบที่ 3 บริจาคเพื่อเก็บโครงกระดูกใช้ในการศึกษา

- ขณะเสียชีวิตอายุต้องไม่เกิน 55 ปี
- ญาติสามารถนำอวัยวะบางส่วนของศพดอง ไปทำพิธีทางศาสนาได้
- ไม่ฉีดยารักษาศพ เพราะจะทำให้ไม่สามารถเก็บเป็นโครงกระดูกได้


เอกสารที่ใช้
- รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว หรือ 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ เขียนชื่อ-นามสกุลที่ด้านหลังรูปให้ชัดเจน
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ใบ (รับรองสำเนาถูกต้อง)


ขั้นตอนการ "บริจาคร่างกาย"
1. กรอกแบบฟอร์ม ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ตามทะเบียนบ้านด้วยตัวบรรจง
2. ระบุ ชื่อ-นามสกุล ผู้แจ้งการถึงแก่กรรม (ผู้แจ้งการถึงแก่กรรมหมายความถึง ผู้ที่เต็มใจจะรับเป็นธุระในการแจ้งให้ภาควิชาฯ ไปรับศพของผู้บริจาคร่างกายเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับมรดกอื่นใดของผู้บริจาคร่างกาย)
3. ส่งแบบฟอร์มที่กรอกแล้วพร้อมรูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว หรือ 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ ไปยังโรงพยาบาลต้นทางที่ผู้บริจาคต้องการจะบริจาคให้ 

4. รับบัตรประจำตัวผู้บริจาคได้ภายใน 1 เดือน โดยให้ระบุว่าต้องการรับด้วยวิธีใด
-รับทางไปรษณีย์เป็นจดหมายลงทะเบียน (ต้องมีคนอยู่บ้านเพื่อลงชื่อรับ)
-มารับบัตรด้วยตัวเอง

5.หากการยกเลิกพินัยกรรมฉบับนี้ ไม่ต้องแจ้งให้ทราบ จะไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมายแต่ประการใด

 

 

 

ที่มา : ภาควิชากายวิภาค คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาลศิริราช , โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ