อัดรัฐบาลคิดช้า ลด "ภาษีสรรพสามิต" "น้ำมัน"

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ และอดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่าตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ลดภาษีสรรพสามิต น้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาทนั้น เห็นว่าเป็นแนวทางที่ลดน้อยเกินไปและลดช้าเกินไป ทั้งที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้แนะนำ และเรียกร้องมาตลอดและเรียกร้องมานานหลายเดือนแล้ว  ปัจจุบันรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ให้กองทุนน้ำมันสนับสนุนราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 3.79 บาท ซึ่งก็ยังสูงกว่าภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่รัฐบาลลดลิตรละ 3 บาท ทำให้กองทุนน้ำมันยังต้องอุดหนุนอยู่ การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 3 บาท เพียง 3 เดือนน่าจะไม่เพียงพอรับมือราคาน้ำมันโลกภายใน 3 เดือนข้างหน้าที่มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันทุกชนิดเป็นเวลา 1 ปี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจโดยให้เหตุผลว่าภาษีสรรพสามิตเป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องสำอาง หรือ น้ำหอมส่วนน้ำมันเป็นปัจจัยการผลิตที่จำเป็นจึงไม่ควรถูกจัดอยู่ในสินค้าที่ต้องจัดเก็บภาษีสรรพสามิต  ไม่เป็นผลดีต่อการส่งออกแม้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะสร้างรายได้หลักให้รัฐบาลปีละสองแสนล้าน  แต่หากรัฐบาลทำให้ประชาชนอยู่รอด  สามารถสร้างรายได้ให้รัฐบาลได้เช่นเดียวกัน

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เห็นชอบการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงไม่เกิน 3 บาทต่อลิตร โดยจะปรับลดลงประมาณ 3 เดือนโดยรายละเอียด มีดังนี้

น้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถัน เกินร้อยละ 0.005 โดยน้ำหนัก อัตราภาษีเดิม 6.440 บาท อัตราภาษีใหม่ 3.440 บาท 

น้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ 0.005 โดยน้ำหนัก อัตราภาษีเดิม 6.440 บาท อัตราภาษีใหม่ 3.440 บาท

น้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสม ไม่เกินร้อยละ 4 อัตราภาษีเดิม 6.440 บาท อัตราภาษีใหม่ 3.440 บาท

น้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสม เกินร้อยละ 4 แต่ไม่เกินร้อยละ 7 อัตราภาษีเดิม 5.990 บาท อัตราภาษีใหม่ 3.200 บาท

น้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมเกินร้อยละ 7 แต่ไม่เกินร้อยละ 9 อัตราภาษีเดิม 5.930 บาท อัตราภาษีใหม่ 3.170 บาท

อัตราภาษีใหม่ จะมีผลตั้งแต่วันที่มีประกาศกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2565