สงฆ์กาฬสินธุ์ แฉ ภาค 9 ปัดไม่เคยรับหนังสือลาออกจาก "พระเล็ก" รอดูใครพูดโกหก

จากกรณีปัญหายืดเยื้อ หลังจากที่ "มหาเถรสมาคม" มีคำสั่งถอดถอนเจ้าคณะจังหวัด 3 รูป เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพระเทพสารเมธี หรือ "เจ้าคุณบัวศรี" อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธรรมยุต) พร้อมแต่งตั้ง "พระเล็ก" พระครูสุทธิญาณโสภณ อดีตเจ้าคณะอำเภอสังคม จ.หนองคาย ขึ้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์แทน เรื่องดังกล่าว ทำให้คณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์(ธ) และญาติธรรม ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 3 เดือน "พระเล็ก" ก็ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ ขณะที่ล่าสุด มีข่าวสะพัดว่า "พระเล็ก" ได้ยื่นหนังสือลาออกจากเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์แล้ว แต่มีรายงานข่าวว่า หนังสือที่ถูกส่งไปยังเจ้าคณะภาค 9 (ธ) กลับยังไม่มีการอนุมัติให้ลาออก 

 

 

 

ด้าน "พระครูโสภณธรรมอุดม" อดีตเจ้าคณะอำเภอห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ แกนนำสงฆ์ที่ต่อต้านการแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์มาโดยตลอด โพสต์ข้อความล่าสุด ถึงเรื่องดังกล่าวว่า จากกรณีที่เกล้ากระผม/อาตมา ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ใจความมีว่า พระครูสุทธิญาณโสภณ หรือ "พระเล็ก" ได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) และได้ยื่นหนังสือถึงเจ้าคณะภาค 9 (ธ) เพื่อยุติความขัดแย้ง และได้หยุดความเคลื่อนไหวมาระยะหนึ่งแล้ว ปรากฏว่า มีพระเจ้าหน้าที่ในสำนักงานเจ้าคณะภาค 9(ธ) ได้ออกมาปฏิเสธว่า ยังไม่ได้รับหนังสือลาออกเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ประการใด พร้อมทั้งให้เบอร์โทรเพื่อสอบถามความถูกต้องในการเสนอความคิดเห็น ท่านยังบอกว่า หลวงพ่อเจ้าคณะภาค 9 (ธ) ท่านไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ตามที่กล่าวหาท่าน
     

 

 

เกล้ากระผม/อาตมา ในฐานะที่เป็นพระสังฆาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ ขึ้นตรงต่ออำนาจการปกครองของคณะสงฆ์ภาค 9(ธ) ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการที่มีคำสั่ง และมติถอดถอนพระเทพสารเมธี อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) และแต่งตั้งพระครูสุทธิญาณโสภณ หรือ "พระเล็ก" มาดำรงตำแหน่งแทนนั้น ซึ่งในความเป็นจริง การปลดพระเทพสารเมธี ถือว่าจบแล้ว และท่านก็ประกาศแก่คณะสงฆ์ และชาวพุทธกาฬสินธุ์ว่า "เรื่องขององค์ท่านถือเป็นอันยุติ"
     

 

 

 

ฉะนั้น ประเด็นจึงเป็นเรื่องการปกครองในคณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์(ธ) ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลอีกต่อไป การที่คณะศิษย์ใกล้ชิดของท่าน "พระเล็ก" ได้ชี้แจงว่า ท่านพระอาจารย์เล็กได้ลาออกแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ได้รับการยับยั้ง นั่นคือในส่วนของท่านพระอาจารย์เล็ก ส่วนพระเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเจ้าคณะภาค 9 (ธ) จะออกมาชี้แจงและปฏิเสธว่า ยังไม่ได้รับหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ประการใด ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ และเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมควรอย่างยิ่ง
     

 

 

พระครูโสภณธรรมอุดม ระบุว่า ตั้งแต่มีคำสั่งปลดพระเทพสารเมธี อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์(ธ) ในวันที่ 30 กันยายน 2564 จนถึงปัจจุบัน เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบจะครึ่งค่อนปี ทั้ง ๆ ที่ พระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะอำเภอ, เจ้าคณะตำบล ลาออกยกจังหวัด แต่เกล้ากระผม/อาตมา ก็ไม่เห็นว่า ทางเจ้าคณะภาค 9 (ธ) จะชี้แจง หรือมีแนวทางที่จะแก้ปัญหาในเรื่องนี้แต่ประการใด มีแค่หนังสือแจ้งไม่อนุมัติการลาออกของพระสังฆาธิการทั้งหมด ที่ยื่นใบลาออก และให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเป็นปกติ ซึ่งนั่นไม่ใช่ข้อเรียกร้องของคณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์(ธ)แต่อย่างใด
      

 

 

การที่เกล้ากระผม/อาตมา ออกมาชี้แจง และเรียกร้องให้มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่ใช่เป็นการเรียกร้องและเป็นความคิดเห็นเฉพาะตน และทำเพื่อตนเอง แต่นี่เป็น "มติของคณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์(ธ)" ก็นับว่าเป็นมติใหม่ของมหาเถรสมาคม ที่เริ่มเข้าสู่ระบบอีกครั้ง แทนที่จะพิจารณาเองแบบเบ็ดเสร็จ แต่ในครั้งนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเจ้าคณะจังหวัดทั้ง 2 รูป 

 

 

ด้าน ส.ส.นิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กระแสข่าวนี้ตนได้ยินได้ฟังมานาน และก่อนหน้าก็ได้อภิปรายในสภาฯไปหลายรอบ ซึ่งก็ยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆ จากรัฐบาล และ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบ แต่เมื่อมีข่าวว่า "พระเล็ก" ได้ยื่นใบลาออก ก็ถือได้ว่า พระครูเล็กเข้าใจ และต้องการที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตศรัทธานี้ร่วมกัน แต่หากมีการลาออกจริง ขั้นตอนก็จะต้องอยู่ที่เจ้าคณะภาค 9 มีหน้าที่ในการส่งเอกสาร และทำการรายงานไปยัง พระเถรหนตะวันออกฯ แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด

 

 

"กรณีนี้คงต้องถามไปยังเจ้าคณะภาค 9 ว่า “พระเล็ก” ได้ลาออกจากเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ แล้วจริงหรือไม่ หากจริงก็ควรที่จะมีการดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อเรียกศรัทธาหยุดปัญหาความแตกแยกในคณะสงฆ์ แต่หากยังไม่มีการลาออก “พระเล็ก” ก็คงจะเข้าจังหวัดกาฬสินธุ์ไม่ได้ เพราะไม่มีใครต้อนรับ ซึ่งกรณีนี้คิดว่าไม่น่าใช่ แต่หากลาออกจริง คำถามก็จะย้อนกลับไปว่า ทำไมเจ้าคณะภาค 9 ถึงยังไม่ดำเนินการใด ๆ ต้องการอะไร หรือมีอะไรที่แอบแวงสงสัย"

 

 

ส.ส.นิยม กล่าวว่า ตนยืนยันว่า สิ่งที่ติดตาม คือการรักษาความสงบสุขของประชาชน และเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนาไม่ให้มัวหมอง เมื่อมีหนทางแก้ไขโดยง่าย ก็ควรที่จะรีบดำเนินการ เพราะเวลาที่ล่วงเลยมากว่า 3 เดือน ทำให้ประชาชนชาวพุทธได้ติดตามแนวทางการแก้ไขปัญหา ดังนั้น ในส่วนของ ธรรมยุติ ซึ่งคนอีสานส่วนใหญ่จะเคร่งทางนิกายนี้ ก็ขอให้เร่งดำเนินการเพื่อสร้างความปรองดองของคนในสังคมชุมชนอีสาน ที่เป็นหนึ่งเดียวจากเหตุการณ์นี้ด้วย