ข่าว

ครม. ไฟเขียวงบกลาง 570 ล้านบาท "เยียวยาเกษตรกรเลี้ยงหมู"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ที่ประชุม "ครม." ไฟเขียวงบประมาณกลาง 570 ล้านบาท "เยียวยาเกษตรกรเลี้ยงหมู" ที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบจากโรค ASF

ที่ประชุม "ครม." วันนี้ (11 ม.ค. 65) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ได้มีมติอนุมัติงบกลาง 570 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรฯเสนอในการแก้ปัญหาและเยียวยาเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรที่ได้รับความเดือดร้อนและผลกระทบจากการเกิดโรคระบาดในสุกร

 

โดยก่อนหน้านี้ประเทศไทยต้องประสบกับปัญหาหมูแพง โดยเฉพาะการปรับขึ้นราคาเนื้อสุกร ที่หน้าเขียงตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 250 บาท จากการแพร่ระบาดของเชื้ออหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF (African Swine Fever)

 

ซึ่งการปรับตัวของเนื้อหมูทำให้สินค้าทดแทนอย่างไก่และไข่ ปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน รวมถึง ราคาวัตถุดิบอาหารอื่น ๆ เช่น ผัก น้ำมันพืชมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน

 

ขณะที่พรรคเพื่อไทย หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว พร้อมด้วย ประธาน ส.ส.พรรค นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ  และโฆษกพรรค นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ร่วมแถลงข่าวถึงประเด็นราคาหมูแพง

 

 

โดยนายแพทย์ชลน่าน ระบุว่า เรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาใหญ่หลวงของประเทศชาติ เป็นเรื่องหมูที่ไม่ใช่หมูเพราะสามารถล้มรัฐบาลได้ เนื่องจากรัฐบาลปล่อยปละละเลยจนทำให้ประเทศเสียหาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นโรคระบาดสัตว์ นับว่าเป็นเรื่องแปลก เมื่อรัฐบาลพบกับโรคระบาด จะบริหารราชการผิดพลาดและอย่างล้มเหลว ทั้งที่มีประกาศโรคอหิวาต์ในหมูให้เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ เม.ย.2562 แต่กลับปกปิดและไม่ให้ความใส่ใจ ขณะที่พรรคเพื่อไทยพยายามเสนอเรื่องดังกล่าวเป็นญัตติเข้าสู่สภาฯ แต่ก็มีการระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ทำให้ต้องงดประชุมสภาฯ กระทั่งเกิดเหตุราคาหมูแพง

 

นายแพทย์ชลน่าน เปิดเผยว่า มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการปกปิดข้อมูล เมื่อถามว่า ทำไมจึงต้องปกปิด เป็นเพราะต้องชดเชยเยียวยาให้เกษตรกรแต่ไม่มีเงินเยียวยาใช่หรือไม่ หรือปกปิดเพราะต้องการทำลายล้างเกษตรกรรายย่อยที่เลี้ยงหมูหรือไม่ เพื่อให้กิจการการเลี้ยงหมูเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้นใช่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้น จะต้องมีผู้รับผิดชอบ 

ท่านนายกรัฐมนตรีไปอยู่ไหน ถึงไม่สนใจความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน แต่หมูนี่แหละครับ จะเอานายกรัฐมนตรีออก ไม่ต้องรอ 8 ปี พี่น้องประชาชนจะเดือดร้อนจนทนไม่ไหว และรัฐมนตรีเกษตรฯไปอยู่ไหน ปล่อยให้กรมปศุสัตว์ออกมา คุณต้องการอะไรต้องการช่วยเหลือใคร ถ้าคุณปกป้องผลประโยชน์เพื่อพวกพ้อง พี่น้องประชาชนจะว่าอย่างไร  นายแพทย์ชลน่าน กล่าว 

 

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวอีกว่า ฝ่ายค้านจะนำเรื่องนี้เข้าสู่สภาฯทันทีที่สภาฯเปิด และพรรคร่วมรัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านยื่นญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนโดยด่วน จากนั้น จะตั้งกระทู้ถามสดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย

 

ฝ่ายค้านจะตั้งกระทู้ถามสด เพราะต้องการคำตอบจากรัฐมนตรีว่าทำอะไร ไม่ทำอะไร ไปดักดานอยู่ที่ไหน ใครเอาเท้าเหยียบปากคุณไว้ ถึงไม่พูดอะไร ดังนั้น จะนำเข้าสู่สภาฯเป็นญัตติด่วนด้วยวาจาในวันที่ 20 ม.ค.ที่จะถึงนี้ และจะอยู่ในญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ม.152 ที่จะยื่นภายในสิ้นเดือนนี้อย่างแน่นอน และหากไม่มีความรับผิดชอบออกมา ก็จะอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอน ตามมาด้วยการยื่น ป.ป.ช. เพราะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทำความเสียหายกับบ้านเมือง เราไม่เอาไว้แน่นอน ส่วนข้าราชการก็ว่ากัน
ไปตามความผิดว่าถือว่าเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่หรือไม่ จึงเรียกร้องผู้นำประเทศให้แก้ปัญหา เราทุกข์ร้อนจริงๆกับรัฐบาลที่ไม่มีจิตสำนึก ไม่มีความรับผิดชอบ ไร้ภูมิปัญญา ไม่งั้นเราจะตายกันหมด นายแพทย์ชลน่าน กล่าว


ด้านนายวิสุทธิ์ ระบุว่า มีการเบิกจ่ายเงินไปแก้ปัญหาโรคอหิวาต์ในหมูจริง โดยมีหลักฐานการเบิกจ่ายไปยังกระทรวงการคลังแต่รัฐบาลกลับออกมาปฏิเสธว่าไม่มีโรคระบาดในหมู จึงเป็นเรื่องน่าละอาย ซึ่งถึงเวลาที่กรมปศุสัตว์ต้องปฏิรูปทั้งหมด ขณะที่ธุรกิจเกี่ยวกับการเลี้ยงหมูต้องปรับโครงสร้างทั้งหมดเพราะการปกปิดทำให้เชื้อระบาดไปทั่ว เกษตรกรซื้อวัคซีนไปฉีด แต่สุดท้ายหมูก็ตายหมดคอก หมดเนื้อหมดตัว หลายคนจะฆ่าตัวตายเพราะความเดือดร้อน ซึ่งฝ่ายการเมืองต้องใส่ใจมากกว่านี้ ต้องมีความรับผิดชอบ
ทางการเมือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯต้องยอมรับความผิดพลาดและขอโทษประชาชน


"โกหกไปถึงต่างประเทศ ใครจะเชื่อถือ ถ้าเป็นผม ผมลาออก ผมละอาย" นายวิสุทธิ์ กล่าว


นางสาวธีรรัตน์ ย้ำว่า รัฐบาลผิดพลาดตรงที่การปกปิดข้อมูลว่าไม่มีโรคระบาดในหมู และไม่รับฟังข้อเสนอการแก้ปัญหา จึงตั้งข้อสงสัยว่า ความผิดพลาดของรัฐบาลนั้น เป็นความผิดพลาดจริงหรือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่ แต่ความผิดพลาดดังกล่าว กลับเป็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน

logoline