ข่าว

“ปริญญ์” ชงภาครัฐยกเลิกจัดเก็บภาษีคริปโต หนุนสตาร์ทอัพไทยแข่งขันเวทีโลก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

“ปริญญ์” เสนอคลังยกเลิกจัดเก็บ “ภาษีคริปโต” ชี้กฎหมายมีไว้เพื่อการพัฒนาไม่ใช่เพื่อลงโทษ ย้ำควรส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยให้เกิดความเสมอภาค ไม่ใช่คิดแค่หารายได้ เผยหารือเบื้องต้น “สรรพากร”คาดอธิบดีกรมสรรพากรนำเข้าที่ประชุมจันทร์นี้

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกฎหมาย "การจัดเก็บภาษี" "คริปโตเคอร์เรนซี" ทั้งในแง่ของความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และเจตนาของภาครัฐว่า ต้องการส่งเสริม หรือสกัดกั้น "สตาร์ทอัพ" และ "เอสเอ็มอี" ไทยกันแน่ เพราะการยกเว้นการจัดเก็บภาษีคริปโต นั้น รมว.คลังมีอำนาจทำได้และจากที่ได้หารือกับอธิบดีกรมสรรพากร ก็ยินดีที่จะรับเรื่องไปพิจารณา ซึ่งคงจะประชุมในวันจันทร์ที่ 10 ม.ค. นี้ ซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรเข้าใจถึงปัญหาการจัดเก็บ และจะพยายามปรับแก้ให้เหมาะสม

 

นายปริญญ์ กล่าวว่า "การจัดเก็บภาษี" จากสินทรัพย์ดิจิทัล กฎหมายปัจจุบันกำหนดให้ผู้ลงทุนต้องนำกำไรส่วนต่างจากการถือ ครองหรือการโอน นำไปคิดเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) เพื่อนำไปยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และยังต้องมีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 15% ของกำไรที่ได้ กฎหมายนี้ออกมาตั้งแต่เดือน พ.ค.2561 แต่ในทางปฏิบัติยังทำได้ยาก โดยเฉพาะการคำนวณต้นทุน และการหัก ณ ที่จ่ายที่ไม่สามารถทำได้จริง ดังนั้น จึงได้เสนอให้รัฐบาล "ยกเลิกการจัดเก็บภาษีคริปโต" พร้อมเหตุผล 3 ข้อ ที่ได้เดินหน้าผลักดันมาตลอดหลายปีตั้งแต่ก่อนจะมี พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2561  และจากที่ได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงการเงินทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ ยืนยันจะเดินหน้าเข้าพูดคุยกับกระทรวงการคลังเพื่อหาทางออกให้เร็วที่สุด

“ถ้าจะแก้ต้องแก้ที่การยกเว้นการจัดเก็บ ซึ่งการยกเว้นการเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น เป็นอำนาจรัฐมนตรีคลัง และรัฐมนตรีคลังก็นำเสนอ ครม. ซึ่งเรื่องนี้ต้องเร่งทำก่อนจะเกิดผลกระทบเสียหายมากไปกว่านี้”   นายปริญญ์ ระบุ พร้อมอธิบายเหตุผล 3 ข้อหลักๆ ดังนี้

 

 1.การยกเลิก "จัดเก็บภาษีคริปโต" จะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ลงทุนในตลาด
การที่รัฐบาลเก็บภาษีไม่ใช่แค่การนำรายได้เข้าสู่ภาครัฐ แต่เป็นการจัดเก็บเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับอุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (ฟินเทค) ให้เกิดขึ้นได้ ดังนั้น การจะทำได้ ก็ควรจะต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมเหมือนกันกับที่สนับสนุนตลาดหลักทรัพย์มาตลอดกว่า 40 ปี ในการที่ได้รับยกเว้นการจัดเก็บภาษี Capital Gains ดังนั้น ก็ควรจะเกิดความเสมอภาค ทั้งต่อนักลงทุนหรือผู้ประกอบการที่ระดมทุนฝั่งตลาดหุ้นและฝั่งของผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อยที่ระดมทุน หรือประกอบธุรกิจในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

 

ดังนั้น จะทําอย่างไรให้เกิดความเสมอภาคระหว่างคนตัวใหญ่ บริษัทใหญ่ ๆ ที่เข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นกับ "สตาร์ทอัพ" หรือแม้กระทั่งคนที่เข้ามาลงทุนใน "คริปโตเคอร์เรนซี" การจัดเก็บภาษีตัวนี้จะทำให้พวกเขาต้องเสีย 15% ,25% หรือ 35% ด้วยซ้ำตามแต่ฐานเงินได้สุทธิหลังหักค่าลดหย่อน  

 

"ทำไมมันเขย่งกันขนาดนั้น ทั้งที่รัฐบาลอ้างว่าอยากสนับสนุน "เอสเอ็มอี" "สตาร์ทอัพ" ให้เติบโตได้ แต่คุณมาลงโทษเขาผ่านภาษีเหล่านี้ แทนที่จะคิด "เก็บภาษีคริปโต" รัฐควรจะคิดลดหย่อนภาษีให้อุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ด้วยซํ้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและสร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับประเทศ” นายปริญญ์ ระบุ   

 

“ปริญญ์” ชงภาครัฐยกเลิกจัดเก็บภาษีคริปโต หนุนสตาร์ทอัพไทยแข่งขันเวทีโลก


 

2. ป้องกันคนเก่งสมองไหล และช่วยสนับสนุน GDP ประเทศ
นอกจากนี้ กฎหมายการจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล “ในทางปฏิบัตินั้นทำได้ยาก” ทั้งรูปแบบการจัดเก็บ ,วิธีการคำนวณต้นทุนที่ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ลงทุนเกิดความกังวลและไม่กล้าที่จะลงทุน ประเทศไทยจะเสียโอกาสสร้างวัฎจักรอุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่  เพราะจะเกิดภาวะสมองไหลไปต่างประเทศได้  

 

"ยกตัวอย่างเช่น "สตาร์ทอัพ" เก่ง ๆ แทนที่จะระดมทุนในไทย เขาก็แค่เอาบริษัทไประดมทุนในต่างประเทศที่กฎหมายเอื้อต่อการระดมทุนมากกว่า หรือในแง่ของผู้ลงทุน แทนที่เขาจะอยากจ่ายภาษี เขาก็กลายเป็นเอาเงินไปลงทุนกับแพลตฟอร์มต่างชาติดีกว่า อย่างเช่น Binance หรือที่อื่น ๆ เพราะฉะนั้น จะทำอย่างไรให้คนไทยสนับสนุนแพลตฟอร์มของคนไทย เพื่อที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ได้" นายปริญญ์ ระบุ

 

ทั้งนี้ วงการสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งที่จะเพิ่ม GDP ให้กับประเทศไทยได้อย่างจริงจัง รวมถึงการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตได้ด้วย เนื่องจาก "สตาร์ทอัพ" และ "เอสเอ็มอี" เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกและเป็นธรรมได้จากเทคโนโลยีบล็อกเชน 
“จะให้รายเล็กรายน้อยไปออกหุ้นกู้ หรือระดมทุนในตลาดหุ้น มันไม่ง่ายเลย นี่คือช่องทางเขา อย่าปิดช่องทางเขาด้วยภาษี หรือไล่บี้ด้วยกฎหมายที่พะรุงพะรังจนเกินควร” นายปริญญ์ ย้ำ 

 

3. กฎหมายต้องมีไว้เพื่อการพัฒนา ไม่ใช่เพื่อควบคุมและลงโทษคนทำผิด
นอกจากเรื่อง กฎหมายภาษีคริปโตเคอร์เรนซีแล้ว กรณีที่สำนักงาน ก.ล.ต.กำลังจะเข้ามาควบคุมตลาด NFT นั้น  "ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง" เนื่องจาก NFT ยังเป็นเรื่องที่ใหม่ สิ่งที่ภาครัฐควรทำคือการให้ความรู้กับประชาชนมากกว่าที่จะมาออกกฎหมายกำกับในขณะที่ตลาดยังไม่เติบโต เพราะเท่ากับเป็นการปิดกั้นนวัตกรรม

 

"ภาครัฐไม่ควรที่จะทำตัวเป็นคุณพ่อแสนรู้ ไม่เหมาะสมที่จะทำตัวเป็นนักกฎหมายยุคเก่า คิดแต่จะออกกฎหมายมาควบคุมมากจนเกินควร คุณต้องเปิดให้นวัตกรรมมันเติบโตไปก่อน เพราะยังไงกฎหมายก็ไม่มีทางตามทันอยู่แล้ว" นายปริญญ์ ระบุพร้อมกล่าวด้วยว่า ต้องปล่อยให้ตลาดเติบโตได้เต็มที่ก่อน ภาครัฐค่อยเข้ามาควบคุมในระดับที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่การตัดสินใจกระโดดเข้ามากำกับควบคุมอย่างฉับพลัน เพียงเพราะเห็นว่าเกิดกระแสความนิยมในเทคโนโลยีนั้น ๆ  อย่างมาก ซึ่งการทำแบบนี้มีตัวอย่างให้เห็นแล้วในอดีต ยุคของ ICO ปี 2561 ที่กำลังเติบโต เอกชนเริ่มจะสนใจระดมทุนด้วยแนวทางนี้ ขณะนั้นภาครัฐก็ได้เร่งออก พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้ที่สุดแล้วตลาดการระดมทุนแบบ ICO ก็ชะงักลง สตาร์ทอัพหันไประดมทุนในต่างประเทศแทน
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ