การเดินหมากของ"มาโน่" พา"ทีมชาติไทย"ฝากรอยเท้าเหนือแชมป์เก่า

ที่สุดแล้ว "ทีมชาติไทย" ของ มาโน่ โพลกิ้ง หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย  สามารถปิดจ๊อบ ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ กรุยทางสู่รอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ  2020 ไปพบกับทีมชาติอินโดนิเซีย แบบไม่เสียประตูให้เวียดนาม  แชมป์ ซูซูกิคัพ  2018 แม้แต่ลูกเดียวจากกันพบกัน 2 เกม ในรอบรองชนะเลิศ และไทยชนะไปด้วยผลรวม 2-0  นัดแรกคืนวันที่ 23 นัดที่สองคืนวันอาทิตย์ที่ 26

ในเกมนี้การจัดผู้เล่น 11 ตัวจริง " ทีมชาติไทย"  ของ "โค้ชมาโน่"  มีผลิกโผเล็กน้อย คือการออกสตาร์ทตัวจริงของ ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ ที่ได้ลงแทน สุภโชค สารชาติ ในตำแหน่งกองหน้าคู่กับ ธีรศิลป์ แดงดา อีกคนที่ได้สลับลงตัวจริงคือ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ กองกลางสายแข็ง  ลงมาแทน ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร เพื่อมาในลักษณะบดแดนกลางกับเวียดนาม

 ครึ่งแรกเวียดนาม  มาตามที่คาดการณ์ คือผู้ตัดสินเป่านกหวีดปุ๊ป วิ่งเข้าหาไทยปั๊บ สิ่งที่เวียดนามแก้เกมไทย มาจากเกมแรก คือการจ่ายบอลแนวลึกเข้าโจมตี ซึ่งทำได้ดีสร้างปัญหาให้เกมรับของไทยได้หลายครั้ง มีหลายจังหวะเกือบได้ประตู      ขณะที่ทีมชาติไทยในช่วงครึ่งแรก ต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับเป็นส่วนใหญ่ แผงมิดฟิลด์ที่วางลงไป ต้องใช้พลังไปกับการไล่บอลเป็นส่วนใหญ่ 

ทำให้สิ่งที่หายไปจากแดนกลางของไทยในช่วงคือ การจ่ายบอล ทำให้เกมรุกทีมชาติไทยในจังหวะโต้กลับ  ไม่ค่อยปะติดปะต่อ ประกอบกับ ชนาธิป สงกระสินธุ์ ถูกนักเตะเวียดนามตามติด  ทำให้มีโอกาสพลิกเกมไม่มาก แต่ยังดีที่ไทยสามารถรักษาสกอร์เอาไว้ได้

 ในช่วงครึ่งหลัง "โค้ชมาโน่"  แก้หมากของ ปาร์ค ฮัง ซอ   เฮดโค้ชทีมชาติเวียดนาม  โดยเลือกถอด ปฐมพล ออก แล้วใส่ เอเลียส ดอเลาะห์ กองหลังจาการท่าเรือ ลงมาเล่นในระบบเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 ตัว  หลายคนมองว่าเป็นการจอดรถบัส แต่ถ้ามองเนื้อในจริงๆ มาโน่  ไม่ได้มีเจตนาจอดรถบัสเอาสกอร์ 0-0 แต่เป็นการปิดการจ่ายบอลแนวลึกของเวียดนาม

  เพราะในครึ่งแรกการยืนแผงแบ็คโฟร์ ทำให้เกิดช่องระหว่างคู่เซ็นเตอร์กับแบ็คสองข้าง เป็นพื้นที่ให้เวียดนามใช้บอลแทงทะลุ แต่ดีที่สมาธิของคู่เซ็นเตอร์ทีมชาติไทย ทั้ง กฤษดา กาแมน และ มานูเอล ทอม เบียรห์ สมาธิยังดีตามไปดีเลย์ ตามไปบล็อกได้ทันหลายครั้ง 

นอกจากส่ง เอเลียส ดอเลาะห์ ลงมาเพื่อเกมรับแล้ว โค้ชมาโน่  ยังมีการสลับเอา  ธนวัฒน์ ลงมาแทนฐิติพันธ์ เพื่อเพิ่มคนจ่ายบอลลิงค์กับ ชนาธิป เพื่อให้ในครึ่งหลังการขึ้นบอลเกมรุกของทีมชาติไทย สามารถต่อเกมใส่เวียดนาม เพื่อสามารถกดดันเวียดนามได้บ้าง ไม่ให้เวียดนามเดินเกมรุกได้ถนัด แม้จะทิ้ง  ธีรศิลป์ ไว้แดนหน้าคนเดียว

การปรับทีมของ "โค้ชมาโน่"  ถือว่าได้ตามแผนและทำได้ดี สามารถปิดการจ่ายบอลทะลุช่องของเวียดนามได้เกือบหมด ทำให้เวียดนามไม่สามารถทำได้เหมือนครึ่งแรก เล่นไปเล่นมา "โค้ชปาร์ค" ทยอยส่งตัวรุกเพิ่มลงไปเรื่อย ๆ แบบหมดหน้าตัก แต่ยังไม่สามารถเจาะเกมรับทีมไทยได้ ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นนักเตะเวียดนามหมดมุกในการเข้าทำ ประกอบกับสภาพร่างกายที่ล้ามาจากการกรำศึกหนัก พอเข้าช่วงท้ายเกม ทำให้เร่งไม่ขึ้นไทยเลยสามารถปิดจ๊อบได้สบาย ๆ 

แม้จะไม่ชนะในนัดที่สอง แต่ไทยสามารถรักษาสกอร์จนเข้ารอบ ประกอบกับการเจอเวียดนาม 2 นัดไม่เสียประตู ถือเป็นสิ่งที่พอจะบอกได้ว่า  ไทยทำเกมรับได้ดีขึ้น โดยเฉพาะครึ่งหลังที่ โค้ชมาโน่  เลือกใช้เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 คน บ่งบอกได้ว่าเมื่อสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเล่นเกมรับเป็นหลัก ไทยสามารถทำได้ดี 

ดังนั้นทีมชาติไทยในมือของ  "โค้ชมาโน่"  จึงไม่ใช่แค่ทีมที่เดินหน้าบุกแหลกอย่างเดียว ในวันที่ต้องการผลการแข่งขัน สามารถสลับปรับเปลี่ยนแท็คติกได้ตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับว่าใน 2 เกม รอบชิงชนะเลิศ กับอินโดนีเซีย  มาโน่ โพลกิ้ง  จะวางแผนระยะสั้น กลาง และ ยาว อย่างไร เพื่อเป้าหมายพาทีมชาติไทย คว้าแชมป์

ทีมชาติไทย ทำผลงานผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน เอเอฟเอฟซูซูกิคัพ 2020 จากชัยชนะเหนือ เวียดนาม แชมป์ปี 2018  โดยรวมผล 2  นัด ไทยชนะเวียดนาม 2-0

ขอขอบคุณภาพ จากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย , เพจ 

ช้างศึก  @changsuek