ข่าว

"ทีมชาติไทย" หลังเกมซูซูกิคัพ ความ"คม"แนวรุก สิ่งที่ต้องเร่งแก้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"ทีมชาติไทย" สานต่อความสำเร็จกับเกมนัดที่ 2 ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน " เอเอฟเอฟซูซูกิคัพ 2020" เมื่อเอาชนะทีมชาติเมียนมา 4-0 นี่เป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา เพื่อเป็นแชมป์ฟุตบอลซูซูกิคัพ และถึงแม้ว่า"ช้างศึก" จะคว้าชัย แต่ก็ยังมีการบ้านที่ต้องแก้

 เชื่อว่าหลัง "ทีมชาติไทย" เดินหน้าไล่กระซวก ทีมชาติเมียน  แบบหมดทางสู้ และชนะไปด้วยสกอร์ 4-0      ในฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน เอเอฟเอฟซูซูกิคัพ 2020   ที่ประเทศสิงคโปร์ แข่งกันไปคืนวันเสาร์ที่ 11  ธันวาคม  ได้กลายเป็นปฐมบท ที่สร้างความสุขให้แฟนบอลชาวไทยไม่มากก็น้อย  แต่ในรูปแบบการเล่นถึงแม้จะได้ผลการแข่งขันตามที่ต้องการ แต่ยังมีหลายสิ่งที่  "มาโน่ โพลกิ้ง"  หัวหน้าผู้ฝึกสอน  หรือ เฮดโค้ชฟุตบอลทีมชาติไทย ต้องนำกลับไปแก้ไข

 

เกมนัดที่ 2 ของ "ทีมชาติไทย" ที่พบกับ  ทีมชาติเมียนมา  โดยทางฝั่งเมียนมา   ลงเล่น เป็นนัดที่ 3    โดย  2 นัดแรก  เมียนมา  ชนะ 1  แพ้ 1 หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย   เลือกรูปแบบการยืนแบบ 4-1-2-1-2 หรือ ที่เรียกกันติดปากว่า 4-4-2 แบบไดมอนด์  มีการเปลี่ยนนักเตะจากเกมชนะ  ติมอร์เลสเต 3 คน  ส่วน  2 นักเตะจากเจลีก  ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ธีราทร บุญมาทัน ได้ออกสตาร์ทตัวจริง  และอีกคนที่ได้ขยับมาลงตัวจริงคือ ศุภชัย ใจเด็ด ในการยืนคู่หน้ากับ ธีรศิลป์ แดงดา

 

หากไล่เรียงไลน์อัพ  การยืนแท็คติกตามตำแหน่งไม่สำคัญในชุด 11 ตัวแรก แต่ความสำคัญอยู่ที่การเคลื่อนที่ของนักเตะในสนามที่  มาโน่  วางเอาไว้ แน่นอนว่าเมื่อเทียบนักเตะไทยกับเมียนมา ไทยดูดีกว่า มาโน่ จึงให้ทีมชาติไทย  ใช้บอลตามช่องเจาะแนวรับของเมียนมา
  การมี  ธีราทร ลงเล่นแบ็คซ้าย ทำให้ช่วยยกระดับเกมรับได้ดีมาก   

 

เพราะ ธีราทร สามารถเล่นเป็นวิงแบ็คได้ รวมถึงหุบเข้ามาเป็นกองกลางตัวรับ เพื่อเปลี่ยนบอลจากรับเป็นรุก ทำให้เกิดความหลากหลายในการเล่นมากขึ้น   ส่งให้แดนกลางช้างศึกแน่นขึ้นมาก และคลาสบอลระดับเจลีก ของธีราทร แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไมไทย ต้องส่งนักบอลไทยไปค้าแข่งเมืองนอกให้มากกว่านี้

การใส่ ชนาธิป ลงมาเล่นเป็นกองกลางตัวรุกหรือตัวสร้างสรรค์เกมรุก ทำให้การเล่นเกมรุก ของทีมชาติไทย มีมิติขึ้นมากกว่าวันที่เจอกับ ติมอร์ เลสเต ยิ่งการที่ ชนาธิป  มีคู่ขาในแดนกลางอย่าง ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ที่สมองทันกัน ซึ่งในช่วง 10 นาทีแรก   อาจดูตะกุกตะกักไปบ้าง แต่เมื่อทั้ง 2 คน   จับจังหวะของกันและกันได้ ทำให้การเล่นเกมรุกของไทยยกระดับขึ้นเ

 

 

แม้ว่าหลาย  ๆ  คนจะวิจารณ์ว่าเกมนี้ถึง  สารัช อยู่เย็น เล่นไม่โดดเด่นและเงียบ ๆ แต่หารู้ไม่ ว่า สารัช  คือคนที่ทำให้การเล่นของชนาธิปและธนวัฒน์ ง่ายยิ่งขึ้น เพราะการเล่นบอลง่าย ๆ ของ สารัช แปะซ้ายทีขวาที ส่งบอลง่าย ๆ ไม่หวือหวา รวมถึงการมี พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล เป็นกองกลางตัวรับคอยซัพพอร์ต การเล่นทั้ง 3 คน ทำให้จังหวะเกมในแดนกลางชนะเมียนมาแบบกินขาด

 

 

สิ่งที่ทีมชาติไทยทำได้ดีในเกมนี้ คือการเคลื่อนตัวสร้างพื้นที่ว่างและจังหวะการเข้าทำ โดยเฉพาะการจ่ายบอลเท้าสู่เท้า ที่ทำให้นักเตะเมียนม าต้องใช้การเข้าบอลหนัก ไม่มีเบรกในการหยุดเกมรุกช้างศึก โดยเฉพาะการยืนหน้าคู่ที่ธีรศิลป์ มีคู่ขาเป็นศุภชัย   ซึ่ง ธีรศิลป์ มีหน้าที่ประจำการในกรอบเขตโทษ ปักหลักหาโอกาสยิง ขณะที่ศุภชัยคือตัวฟรี ที่โยกไปซ้ายทีขวาที เพื่อหาพื้นที่เข้าโจมตี

 

รวมถึงการพยายามปิดเกมโต้กลับของเมียนมา ของนักเตะไทย เมื่อผู้เล่นแนวรุกเสียบอลจะไม่มีการก้มหน้าวิเคราะห์หญ้า หรือเงยหน้าส่องดาวพร้อมกับยกมือขอโทษเพื่อน แต่นักเตะไทยรีบวิ่งเข้าหานักเตะเมียนมา เพื่อปิดไลน์การจ่ายบอลทันที ทำให้บอลโต้ของเมียนมาทำเร็วไม่ได้

ในครึ่งแรก โค้ชมาโน่ ได้สกอร์ที่พอใจ ( ไทย นำ 1- 0 ) ในครึ่งหลังจึงมีพยายามปรับแท็คติกเพื่อความหลากหลายมากขึ้น การเปลี่ยนตัว 3 ครั้งของทีมชาติไทย เป็นการเปลี่ยนรูปแบบการยืนถึง 3 ครั้ง และทำให้ได้เพิ่มอีก 3   ประตู แต่ถ้า"เทพมุ้ย" มีโชคหรือคมกว่านี้ มีสิทธิ์ถล่มถึง 5-6 ลูก

 


เหนือสิ่งอื่นใดคือการที่ 2 ตัวสำรอง  อย่าง สุภโชค สารชาติ และ  วรชิต กนิตศรีบําเพ็ญ ลงมาประสานงานผลัดกันยิงผลัดกันจ่ายคนละ 1 ประตู แสดงให้เห็นแล้วว่านักเตะที่โค้ชมาโน่ขนไปในครั้งนี้ สามารถทดแทนกันได้หมด หากแผนเอไม่เวิร์ค ยังมีแผนบี แผนซี รอใช้งานอยู่ข้างสนาม

 

 

แม้การเจอเมียนมาในช่วงเวลานี้   อาจยังไม่สามารถชี้วัดอะได้มากมาย แต่ถ้าดูกันจริงๆแล้วปัญหาของ "ช้างศึก"  คือการจบสกอร์ที่ยังขาดความเฉียบคม  ทั้งที่โอกาสมี  น่าจะได้อย่างน้อย 4-5 ลูก จากโอกาสที่เรียกว่าควรจะใส่สกอร์ได้ จุดนี้จึงยังมีความน่าเป็นห่วงเมื่อเจอทีมที่มีมาตรฐานสูงกว่านี้เช่นสิงคโปร์ , มาเลเซีย และเวียดนาม ถ้าอยากจะเป็นแชมป์ต้องคมกว่านี้    เป็นการต่อ มาโน่ โพลกิ้ง และ   นักเตะทีมชาติไทย ในการที่จะสานฝันจบภารกิจ ในฐานะแชมป์ฟุตบอลอาเซียน
       

"ทีมชาติไทย" หลังเกมซูซูกิคัพ  ความ"คม"แนวรุก สิ่งที่ต้องเร่งแก้ มาโน่ โพลกิ้ง หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย

"ทีมชาติไทย" หลังเกมซูซูกิคัพ  ความ"คม"แนวรุก สิ่งที่ต้องเร่งแก้

"ทีมชาติไทย" หลังเกมซูซูกิคัพ  ความ"คม"แนวรุก สิ่งที่ต้องเร่งแก้ "ทีมชาติไทย" หลังเกมซูซูกิคัพ  ความ"คม"แนวรุก สิ่งที่ต้องเร่งแก้ "ทีมชาติไทย" หลังเกมซูซูกิคัพ  ความ"คม"แนวรุก สิ่งที่ต้องเร่งแก้ ทีมชาติไทยลงเล่นนัดที่ 2 ฟุตบอลเอเอฟเอฟซูซูกิคัพ โดยเอาชนะทีมชาติเมียนมา 4-0    มี 6  คะแนน   ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงของตาราง   และกำลังจะมีโปรแกรมลงเล่นนัดที่ 3  พบกับ ทีมชาติฟิลิปปินส์ แข่งกันวันอังคารที่ 14  ธันวาคม เวลา 16.30 น. ตามเวลาไทย

.

ขอขอบคุณภาพจาก  สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย

 

logoline