รู้ยัง สิ่งเดียวที่ยังยึดรั้งไว้ไม่ให้ “ครูถอดใจลาออก"
เปลี่ยนผู้นำ เปลี่ยนตัวละคร ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาคุมกระทรวงศึกษาธิการ หนังม้วนเดิมถูกนำมาฉายซ้ำไม่รู้กี่รอบ แต่แก้ปัญหา “หนี้ครู” ไม่ได้ นับวันยิ่งกลายเป็นหนี้กองโต สวนทางกับคุณภาพการศึกษาที่ตกต่ำ อย่างน่าใจหาย แต่ไม่ทำให้ “ครูถอดใจลาออก” เพราะอะไร
“ครูถอดใจลาออก" คำนี้ ทำให้ครูจำนวนมากรู้สึกเหมือนกันว่า อยากลาออก โดยเฉพาะครูที่มีอายุมาก รับราชการมานาน ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาพอสมควร จะเห็นได้ว่า การศึกษาไทยมันบิดเบี้ยว เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเกิดขึ้นเฉพาะส่วนบนที่เป็นระบบริหาร ระบบโครงสร้างศธ. ตลอดระยะเวลาที่มีการใช้คำว่า “ปฏิรูปการศึกษา” การปฏิรูปเหล่านั้นไม่เคยส่งผลถึง “ครู” และ “นักเรียน” เลย จึงทำให้ “ครูถอดใจ” อยากลาออก แต่สิ่งเดียวที่ยังยึดรั้งครูไว้ไม่ให้ลาออก คือ “หนี้” ลาออกไม่ได้ ถ้าไม่หมดหนี้
ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) ออกหนังสือด่วนที่สุด ที่ ศธ 04005/1452 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ถึงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ทั่วประเทศ
โดยกำหนดการแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป ดังนี้
1. มาตรการสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้กู้เงิน
1.1 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มที่ปลอดหนี้สิน กลุ่มที่มีหนี้สิน และกลุ่มข้าราชการบำนาญ หากประสงค์ยื่นกู้สินเชื่อตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2565 เป็นต้นไป กำหนดมาตรการ ดังนี้
1. ขอเอกสารตรวจสอบสิทธิ์รับรองการกู้เงิน ณ หน่วยเบิกต้นสังกัด
2. การกู้เงินให้ใช้อัตราเงินเดือน หรือเงินบำนาญเป็นฐานแล้วแต่กรณีในการยื่นกู้สินเชื่อเท่านั้น (ไม่รวมค่าตอบแทนและวิทยฐานะในการคำนวณสินเชื่อ)
3. หากจัดทำเอกสารเป็นผู้มีสิทธิ์กู้เงินเกินกว่าอัตราเงินเดือน หรือเงินบำนาญเป็นฐาน แล้วแต่กรณี หน่วยเบิกต้นสังกัด ไม่ดำเนินการ หักเงิน ณ ที่จ่ายให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์หรือสถาบันการเงิน
4. แนวทางการดำเนินการ สพฐ. ขอความร่วมมือสหกรณ์ออมทรัพย์ครู และสถาบันการเงินกำหนดเพดานการกู้เงิน โดยใช้อัตราเงินเดือน หรือเงินบำนาญเป็นฐานในการยื่นกู้สินเชื่อ หากไม่ดำเนินการตามมาตรการที่ สพฐ.กำหนด หน่วยเบิกต้นสังกัดไม่ดำเนินการ หักเงิน ณ ที่จ่ายให้แก่สหกรณ์ออมทรัพย์ครู หรือสถาบันการเงิน
2. การพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
2.1 พัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มอายุราชการ 1-5 ปี เพื่อให้มีความรู้ทางด้านการเงิน การคลัง และการออม ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)
2.2 พัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มอายุราชการ 6-60 ปี เพื่อให้ความรู้ด้านการเงิน การออม การวางแผนการใช้จ่ายเงิน และการเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันทางการเงิน ร่วมกับศธ.
3. กำหนดให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนที่เป็นหน่วยเบิกเป็นสถานีแก้หนี้ครู
3.1 จัดทำฐานข้อมูลหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการบำนาญ และจัดหมวดหมู่ของปัญหาหนี้สินอย่างเป็นระบบ
3.2 จัดให้มีกระบวนการตรวจสอบเงินเดือนคงเหลือสุทธิ ให้เป็นไปตามระเบียบการทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการหักเงินเดือนเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้แก่สวัสดิการในส่วนราชการและสหกรณ์ พ.ศ. 2551
3.3 ควบคุมการรับรองเงินเดือน การหักเงิน ณ ที่จ่าย การรับรองการให้กู้ การควบคุมยอดหนี้รวมของครูให้ไม่เกินความสามารถชำระหนี้และการให้กู้ในอนาคตในจุดเดียว
3.4 จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านการวางแผนทางการเงิน การลงทุน และการดำเนินชีวิตตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามความเหมาะสม
3.5 เป็นตัวกลางเจรจา ไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้ร่วมกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการบำนาญ รายที่มีปัญหา และสามารถเข้ารับคำปรึกษาปัญหาทางการเงินของครู
4. เผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ สพฐ.วิถีใหม่ เอื้ออาทรในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
อ้างอิง https://www.komchadluek.net/news/495827
เมื่ออ่านจบครบถ้วนกระบวนความ ทำให้เกิดคำถามว่า มาตรการดังกล่าวข้างต้น สามารถเรียกว่า “มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” ได้หรือไม่ ในเมื่อเนื้อหาและข้อปฏิบัติล้วนกล่าวถึงการก่อหนี้ในอนาคตของข้าราชการครู
และการสร้างองค์ความรู้ วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการวางแผนการใช้เงินในอนาคต แปลง่ายๆ คือ ทำให้ครูกู้เงินยากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาหนี้ในอนาคต ไม่ใช่การแก้ปัญหาหนี้สินในปัจจุบันอย่างที่หลายคนเข้าใจ
ขอเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาหนี้สินครู หรือแก้ “หนี้ครู” ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหา ครูอยากลาออก โดยการชำระหนี้ให้กับครูที่ประสงค์จะลาออก หรือหาแนวทางวิธีการพักชำระหนี้ให้กับครูที่ลาออก
ไม่ให้กระทบกับรายได้หลังเกษียณอายุราชการ ขอรับรองว่า มีครูจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะลาออกทันที เพื่อปลดเปลี้ยงภาระต่างๆ ที่ทับถมลงบนสองบ่าของครูอย่างไม่มีวันลดละ ยิ่งปฏิรูปการศึกษาภาระยิ่งมากขึ้นทุกวัน
ลาออกปลดหนี้ ใครจะสมัครยกมือขึ้น
...บทวิเคราะห์...โดยชัยวัฒน์ ปานนิล....