"บิ๊กโจ๊ก" ลุยใต้ กวาดล้างเครือข่าย "ค้ามนุษย์" ข้ามชาติ ค้น 14 เป้าหมาย

7 ธ.ค. 2564  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ,พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. / ผู้อำนวยการ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ (ผอ.ศพดส.ตร.) , พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร., พล.ต.ท.ชยพล  ฉัตรชัยเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร., พล.ต.ท.ต่อศักดิ์  สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร., พล.ต.ท.ปัญญา ปิ่นสุข ผบช.ประจำ สง ผบ.ตร./หน.ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร.(TATIP) แถลงผลการจับกุมเครือข่ายค้ามนุษย์ และฟอกเงิน พร้อมกัน 14 เป้าหมาย ในพื้นที่ภาคใต้  

 

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.บ้านมาบอำมฤต จ.ชุมพรพ จับกุม นายเขมทัต อายุ 36 ปี พร้อมด้วยต่างด้าวชาวโรฮิงญา 5 คน ต่อมา ตำรวจยังได้จับกุม นายชัยชาญ อายุ 41 ปี และ น.ส.จุลลา อายุ 26 ปี พร้อมด้วยชาวโรฮิงญา 6 คน เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2564 เวลาประมาณ 19.30 น.  ตำรวจ สภ.เขานิพันธ์ ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายฮู เซ็น อายุ 48 ปี สัญชาติ เมียนมาร์ และชู อาลิน อายุ 18 ปี สัญชาติ เมียนมาร์ โดยกล่าวหา รู้ว่าคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม และได้ทำการตรวจค้นบ้านเลขที่ 59/7 ม.5 ต.คลองฉนวน อ.เวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรวจพบคนต่างด้าว โรฮิงญา หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จำนวน 3 คน ในบ้านดังกล่าวซึ่งเป็นลักษณะกักขังตัวไว้ ซึ่งทั้ง 3 คดีดังกล่าว ตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร ได้ทำการคัดแยกเหยื่อผู้เสียหายจากขบวนการค้ามนุษย์ และมีความเห็นว่าคดีดังกล่าวทั้ง 3 เรื่องนั้น เข้าข่ายกระทำความผิดฐาน ค้ามนุษย์  

 

 

 

ตำรวจภูธรภาค 8 โดย พล.ต.ท.อำพล  บัวรับพร ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 (ผบช.ภ.8)  ได้ออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนขยายผลความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันปราบปรามการ ค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 โดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.วันไชย  เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.8 เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวน และจากการสืบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงทราบว่า ทั้ง 3 คดีมีความเกี่ยวข้องกันมีผู้ร่วมกระทำผิดเป็นกระบวนการมีความสัมพันธ์กันเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และฟอกเงิน มีการกระทำผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำเริ่มจากจัดหาคนจากประเทศเมียนมาร์ ส่งเข้ามาในประเทศไทยช่องทางธรรมชาติ ที่บริเวณ อ.แม่สอด จ.ตาก แล้วมีกลุ่มคนที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว รับตัวเดินทางมาพักตามจุดต่างๆ ในประเทศไทย ที่กลุ่มผู้กระทำผิดได้เตรียมไว้ เช่น จังหวัดปทุมธานี กรุงเทพมหานคร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา นราธิวาส จนถึงประเทศมาเลเซีย มีการกักขังขู่เข็ญ ขูดรีด เพื่อเรียกเงินจากเหยื่อ และญาติ  การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมายจึงได้ร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 4 คดี เมื่อ 10 พ.ย. 2564  

 

 

จากนั้นตำรวจภูธรภาค 8 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน คดี สภ.บ้านมาบอำมฤต  และ คำสั่ง ภ.8 ที่เรื่องแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน คดี สภ.เขานิพันธ์ โดยมี พล.ต.ต.วันไชย  เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.8เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งจากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน คณะพนักงานสอบสวนได้ทำการขออนุมัติศาลให้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสิ้นรวม 4 คดี 14 คน 24 หมายจับ ดังนี้

 

สภ.บ้านมาบอำมฤต 3 คดี ข้อหา ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และค้ามนุษย์ฯ จำนวน 2 คดี คือ  และ ข้อหา ฟอกเงิน 13 หมายจับ  สภ.เขานิพันธ์ 1 คดี ข้อหา ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และค้ามนุษย์  คดีอาญาที่ จำนวน 3 หมายจับ

 

ต่อมาวันที่ 6 ธ.ค. 2564 พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ   เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8 หัวหน้าฝ่ายสืบสวน พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศพดส.ตร. และ ศพดส.ภ.๘ ได้ร่วมกันปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายเพื่อจับกุมตัวผู้ต้องหาในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ อ.แม่สอด จ.ตาก, อ.สุไหง-โกลก จว.นราธิวาส, อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี,อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต และพื้นที่อื่นๆ จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 7 คน ดังนี้ 

1.นายบำรุง วานิชคาม อายุ 70 ปี          มีหมายจับ จำนวน 2 หมายจับ

2.นายมูฮำหมัด ซูไบ๋ อายุ 50 ปี            มีหมายจับ จำนวน 2 หมายจับ

3.นายอ่อง โก อู อายุ 41 ปี                  มีหมายจับ จำนวน 2 หมายจับ

4.นายกำพล ยอดแก้ว อายุ 65 ปี          มีหมายจับ จำนวน 2หมายจับ

5.นายอานัส อูมา อายุ 28 ปี                 มีหมายจับ จำนวน 2 หมายจับ

6.นายอาลี ลาลู อายุ 47 ปี                  มีหมายจับ จำนวน 4หมายจับ

7.นายมูฮัมหมัด มะแซ อายุ 31 ปี         มีหมายจับ จำนวน 1หมายจับ

และยังมีผู้ต้องหาที่ผู้ต้องหาหลบหนีการจับกุมจำนวน 4 คน จะได้ติดตามจับกุมตัวต่อไป 

 

 

จากการสืบสวนเส้นทางการเงินพบว่ากลุ่มขบวนการดังกล่าวมีเงินหมุนเวียนกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิด หรือได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายจากความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะประสาน สำนักงานป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป