
หวั่น "โอไมครอน" ลามรร.หลังเปิดเรียนออนไซต์ พบนักเรียน 68% มีพฤติกรรมเสี่ยง
แนะสถานศึกษา ผู้ปกครองร่วมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง เน้นย้ำให้นักเรียน บุตร หลาน ตั้งสติคิดว่าทุกคนมีโอกาสติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ "โอไมครอน" Omicron หลัง สบส.พบนักเรียนมีพฤติกรรมเสี่ยง 68% ชินล้อมวงทานอาหารร่วมกัน
หวั่นโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” Omicron จะลามถึงสถานศึกษา หลังโรงเรียนส่วนใหญ่ เปิดเรียนออนไซต์ กันเป็นจำนวนมากขึ้น มีคำเตือนจากกรมสบส.
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า แม้ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (COVID19) ในประเทศไทยจะมีแนวโน้มที่ลดลง แต่ก็ยังมิอาจไว้วางใจได้เสียทีเดียว ด้วยการมาของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” (Omicron)
ประกอบกับการเปิดภาคเรียนของเด็กนักเรียน ที่ทำให้เกิดกิจกรรมการรวมกลุ่มของนักเรียน ก็อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ได้
จากการเก็บข้อมูลจากนักเรียนที่กำลังศึกษาระดับมัธยม ซึ่งมีพฤติกรรมล้อมวง รับประทานอาหารร่วมกันกับเพื่อน และคนในครอบครัว ใน 19 จังหวัด จำนวน 14,387 ราย ระหว่างวันที่ 1-25 พฤศจิกายน 2564
ทั้งนี้ กองสุขศึกษา กรม สบส.พบความคิดเห็น 5 อันดับแรก ซึ่งเป็นสาเหตุให้นักเรียนเลือกรับประทานอาหารร่วมกัน ดังนี้
1)เป็นวัฒนธรรมที่เคยชิน ร้อยละ 68.47
2)เป็นคนใกล้ชิด ร้อยละ 68.19
3)เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ร้อยละ 63.57
4)ประเภทอาหารที่กินเอื้อต้องให้กินร่วมกัน 56.82 และ 5)กินอาหารร่วมกันช่วยเพิ่มความสนุกสนาน ร้อยละ 53.87
ยังพบว่า อาหารที่นักเรียนส่วนใหญ่รับประทานร่วมกับเพื่อนหรือครอบครัว ได้แก่ หมูกระทะ สุกี้ ร้อยละ 56.8 ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคโควิด 19
ดังนั้น กุญแจสำคัญในการผลักดันให้เยาวชนเกิดการปรับเปลี่ยนความคิดเห็น ลด ละ เลิก แนวคิด ในการร่วมวงรับประทานอาหารร่วมกันนั้น
ทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และครอบครัว จะต้องร่วมให้ความรู้ ความเข้าใจ ถึงความเสี่ยง และอันตรายจากการรับประทานอาหารร่วมกันที่อาจจะทำให้มีการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 มีการปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง
พร้อมแนะนำวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ให้นักเรียน/บุตร หลาน มีการเว้นระยะห่างในการรับประทานอาหาร ไม่ใช้ภาชนะร่วมกัน ล้างมือให้สะอาด รับประทานอาหารสุกใหม่ และแยกสำรับอาหารเฉพาะแต่ละคน เกิดการตั้งสติคิดว่าทุกคนคือผู้ติดเชื้อ จนนักเรียน/บุตร หลาน มีการปรับเปลี่ยนความคิดเห็น และพฤติกรรมสุขภาพให้ถูกต้องเหมาะสมกับวิถีชีวิตใหม่ที่ห่างไกลโรคโควิด-19
ด้านทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส.กล่าวเพิ่มเติมว่า กรม สบส.ได้มอบหมายให้กองสุขศึกษา ดำเนินการผลิต และเผยแพร่สื่อความรู้ในการป้องกันการติดเชื้อโควิดแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention: UP)10 ข้อ ดังนี้
ออกจากบ้านเมื่อจำเป็น เว้นระยะห่าง1-2เมตร สวมหน้ากากอนามัยทับด้วยหน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ อย่าใช้มือสัมผัสหน้ากาก รวมทั้งใบหน้า ตา จมูก ปาก
หากเป็นกลุ่มเสี่ยงให้หลีกเลี่ยงออกนอกบ้าน ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวที่ถูกสัมผัสบ่อยๆ แยกของใช้ส่วนตัว กินอาหารปรุง สุก ใหม่ แยกสำรับ ช้อนกลางส่วนตัว
และหากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงให้ตรวจด้วยATKทุก3 - 5วัน ซึ่งจะมีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ฯลฯ ร่วมเผยแพร่สื่อความรู้ที่ผลิตลงไปยังกลุ่มนักเรียน ซึ่งหากทุกคนร่วมมือกันในการลด ละ เลิก พฤติกรรมเสี่ยง
เชื่อว่าสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ก็จะผ่านพ้นไปโดยเร็ว และเมื่อการระบาดของโรคได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทุกคนก็จะสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติสุขดังเดิม
ทั้งนี้ ประชาชนที่ต้องการสืบค้นข้อมูลด้านสุขภาพ แนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ หรือการดูแล ป้องกันตนเองจากโรคโควิด-19 สามารถสืบค้นข้อมูลได้ที่เว็บไซต์คลังความรู้สุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (http://healthydee.moph.go.th)
ที่มา : กองสุขศึกษา กรมสบส.