ข่าว

พายัพ

พายัพ

23 ก.พ. 2553

"ผมไม่เหมือนกับพี่ผม แค่ชื่อก็คนละทิศแล้ว ผมชื่อพายัพ ส่วนพี่ชื่อทักษิณ" พายัพ ชินวัตร น้องคนเล็กของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงพี่ชาย ซึ่งเกิดก่อนเขาถึง 8 ปี แต่พายัพ ยืนยันว่า เขารัก เคารพ พี่ชายคนนี้มาก

 ชะตากรรมของพี่ชายซึ่งอยู่ที่ดูไบนั้นในฐานะน้องชาย พายัพ บอกว่าก็เป็นห่วงและเห็นอกเห็นใจ เพิ่งไปพบมาเมื่อ 3-4 สัปดาห์ก่อนหน้านี้

 พายัพ ยอมรับว่า ในบรรดาพี่น้องกันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ให้น้ำหนัก "ปู" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มากที่สุด แต่ก็มีหลายเรื่องที่วางใจ "เจ๊แดง" เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ส่วนเขานั้น ดูจะมีความแตกต่างกันมากมาย แม้ว่าในทุกวันนี้ แค่มองตากันก็สามารถรับรู้ความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ชายต้องการสื่อ

 "ระหว่างผมกับพี่ มันมีส่วนที่แตกต่างกัน แค่นามสกุลชินวัตร สำหรับพี่ผม ชินวัตร หมายถึง ชนะตลอดไป แต่นามสกุลของผม ชินวัตร หมายถึง ชิน คือ ชินสีห์ ส่วนวัตร ก็คือการปฏิบัติ ก็คือปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า"

 ในส่วนของการเมืองก็เช่นกัน พายัพ บอกว่า พี่ชายเขามุ่งมั่นที่จะเข้ามาเล่นการเมือง และทุ่มเทให้กับมันอย่างเต็มที่ ถึงขนาดว่า ใครจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม แต่พี่ชายของเขาก็จะยังคงลากเข้าสู่เรื่องการเมืองจนได้

 แต่สำหรับเขาแล้ว ไม่เคยคิดที่จะเข้ามาคลุกวงในการเมืองเหมือนที่ทุกวันนี้ เขามีตำแหน่งเป็นประธานภาคอีสาน ของพรรคเพื่อไทย มี ส.ส.ที่ต้องดูแลทุกข์สุขจำนวนถึง 90 คน

 แม้จะแตกต่าง แม้จะดูห่างเหิน แต่พายัพ ก็บอกว่า เขาเคยเห็นพี่ชายน้ำตาคลอ เพราะเขามาแล้ว เมื่อครั้งที่ต้องต่อสู้กับพญามัจจุราช ด้วยโรคไวรัสตับชนิดบีรุกไล่เอาชีวิต

 "ตอนนั้นปี 2548 ผมนอนป่วยรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หมอบอกว่า โอกาสรอด 1 ในล้านที่จะรอด ผมเห็นพี่ทักษิณ น้ำตาคลอ"

 พายัพ บอกว่า ปีนั้นเป็นปีที่เขาตกต่ำที่สุดเพราะต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตให้รอด ขณะที่พี่ชายของเขากำลังรุ่งเรืองที่สุด เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 อำนาจทุกอย่างอยู่ในมือ แต่หลังจากนั้นเพียง 6 เดือน เหตุการณ์ก็พลิกผัน

 การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากความตายนั้น พายัพ เล่าว่า ในนาทีวิกฤติ เขาเชื่อว่า ไม่มีใครคิดถึงใคร แม้กระทั่งพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ไม่เคยคิดถึงทรัพย์สินเงินทอง คิดแต่เพียงว่า จะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร

 "ตอนนั้นหมอไม่ได้บอกผมว่าผมจะตาย บอกแต่ว่า แข็งแรงดี ผมใช้เวลารักษาตัว 3 เดือน รู้สึกว่า เข็มนาทีเดินช้ามาก กินอะไรก็ไม่ได้ กินน้ำเข้าไปท้องอืดไปหลายชั่วโมง 7-8 วันไม่ได้หลับได้นอน ไม่ได้กิน เพราะมันอืด"

 พายัพ บอกว่า ตอนนั้นรู้สึกได้เลยว่า นรกเป็นอย่างไร รู้ว่าเปรตที่เขาบอกว่าปากเท่ารูเข็ม มันกินไม่ได้ มันทรมานมาก แล้วก็ไม่รู้มาก่อนว่า ตับมันจะเปลี่ยนได้

 การต่อสู้กับโรคร้ายชนิดนี้ พายัพ เคย "เกือบตาย" มาแล้วเมื่ออายุ 36 ปี แต่พอรอดมาได้ ก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม กินดื่มเหมือนคนหนุ่มทั่วไป แล้วก็มาทรุดอีกครั้งเมื่ออายุ 48 ปี

 "ผมได้ตับมาเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง เขาบริจาค เสียชีวิตเพราะตกบันได ผมก็ทำบุญให้ทุกปี ตอนก่อนจะได้ ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่า ผมใกล้จะตาย จับเนื้อตัวนี้เหนียวไปหมด มีกลิ่นเหม็น ก็โชคดีที่ผมรู้จักคำว่าทุกข์ มันหมายถึงความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ซึ่งสุดท้ายมนุษย์ก็แค่นี้ ดิ้นรนไปทุกอย่าง มันก็แค่นี้"

 หลังจากมีผู้บริจาคตับ เขาก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะรอด หลังจากเปลี่ยนแล้ว ก็ต้องกินยากดภูมิไว้ ตอนแรกก็มีผลข้างเคียง เป็นโรคเบาหวาน โรคไต ก็ได้ยาและวิธีการบำบัด จนตอนนี้ก็หายหมด

 สำหรับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ พายัพ กล่าวว่า ถ้าหากทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน และคุยกัน ก็น่าจะทำให้สถานการณ์บ้านเมือง ทุกคนเกิดมาเป็นคนไทยเหมือนกัน มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะหันหน้าเข้าหากัน เพราะทุกวันนี้ต่อให้ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายถูก ก็ไม่ได้ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น

 ส่วนอนาคตของพรรคเพื่อไทยนั้น พายัพ บอกว่า ถ้าหาหัวได้ก็จบ เพราะตอนนี้ "กระแส" ได้แล้ว แต่หัวยังไม่ชัด
 
 "มันมีอยู่ 4 อย่าง กระแสได้ หัวได้ ระบบได้ และทุนได้ ถ้าได้ครบก็จบ"

 สำหรับภาคอีสาน พายัพ บอกว่า ที่หวังไว้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า หวังไว้ที่ 135 เสียง นั่นหมายความว่าเลือกกันวันนี้ และไม่โกง เพราะเท่าที่ดู จ.สุรินทร์ น่าจะได้มา 8 คน (จากทั้งหมด 9 คน) บุรีรัมย์ น่าจะได้ 4 นครราชสีมาตอนนี้มี 4 น่าจะได้ 8-9 คน

 ตลอดช่วงเวลาหลายชั่วโมงในการสนทนากับน้องชายคนสุดท้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ เขาได้แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขัน เข้าใจชีวิต และย้ำว่า ช่วงนาทีวิกฤติที่ต้องยื้อชีวิตกับความตายนั้น เขาได้อะไรจากมันเยอะ !