ข่าว

“พิธา” ชำแหละ “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” มองสิทธิเสรีภาพเป็นแค่ไม้ประดับ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

“พิธา” ชำแหละ “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” มองสิทธิเสรีภาพเป็นแค่ไม้ประดับ ยอมให้มีได้ แต่ห้ามกระทบชนชั้นนำและจารีต ย้ำรัฐธรรมนูญ ฉบับ Re-solution หัวใจสำคัญที่สุดคือการสถาปนาให้อำนาจของประชาชนเป็นอำนาจสูงสุด

วันนี้ (16 พ.ย.) ที่รัฐสภา ร่างรัฐธรรมนูญฉบับภาคประชาชน หรือที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญฉบับ ‘รื้อระบอบประยุทธ์’ โดยกลุ่ม Re-Solution ซึ่งมี ปิยบุตร แสงกนกกุล และ พริษฐ์ วัชรสินธุ์ เป็นผู้เสนอ และมีประชาชนลงชื่อเสนอร่างกฎหมายมากกว่า 1.3 แสนรายชื่อ เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมร่วมสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา

 

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พี่น้องประชาชนร่วมกันลงชื่อเข้ามารอบนี้ มากกว่าหนึ่งแสนคน เป็นข้อเสนอที่มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นระบบ มีหัวใจที่สำคัญที่สุด คือการสถาปนาให้อำนาจของประชาชนเป็นอำนาจสูงสุด ผ่านการยกเลิกวุฒิสภา สร้างระบบสภาเดี่ยว, แก้ไขที่มาและอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระให้ยึดโยงกับอำนาจของประชาชน, สร้างกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคณะผู้ตรวจการกองทัพ คณะผู้ตรวจการศาลและศาลรัฐธรรมนูญ คณะผู้ตรวจการองค์กรอิสระ, เลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อปลดโซ่ตรวนอนาคตของประเทศ, และล้างมรดกรัฐประหาร หยุดวงจรอุบาทว์ขวางประชาธิปไตย

 

“พิธา” ชำแหละ “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ”  มองสิทธิเสรีภาพเป็นแค่ไม้ประดับ
 

“ผมและสมาชิกพรรคก้าวไกลไม่มีเหตุผลใด ๆ เลยที่จะไม่สนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับนี้ เพราะนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ไขปมปัญหาใจกลางของสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ”
ซึ่งก็คือระบอบการเมืองที่อนุญาตให้มีประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นไม้ประดับ ตราบเท่าที่สิทธิเสรีภาพของประชาชนไม่ไปกระทบกับอำนาจของชนชั้นนำจารีต” นายพิธา กล่าว

 

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ คือระบอบการเมืองที่อนุญาตให้ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งบ้างเป็นครั้งเป็นคราว แต่จะไม่ยอมให้อำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของประชาชน อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งต้องถูกกดเอาไว้ให้อยู่ใต้อำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน เมื่อประชาธิปไตยแบบไทย ๆ เป็นแบบนี้ จึงไม่แปลกที่เราจะยังสามารถสอนกันในห้องเรียนอย่างไม่เคอะเขินได้ว่า ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตลอดมา แม้ในยามที่บ้านเมืองถูกปกครองด้วยคณะรัฐประหาร แม้ในยามที่สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนถูกทำลายลง แม้ในยามที่กองทัพหรือสถาบันการเมืองที่ไม่ได้มาจากประชาชนมีอำนาจเหนือกว่ารัฐบาลพลเรือน หรือแม้แต่ในยามที่ประชาชนถูกยิงตายกลางเมืองโดยที่ไม่มีใครต้องรับผิด

 

“พิธา” ชำแหละ “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ”  มองสิทธิเสรีภาพเป็นแค่ไม้ประดับ

นายพิธา อภิปรายด้วยว่า การรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญโดยกองทัพเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2490  ถือเป็นการตอบโต้การเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎร วุฒิสภาอย่างที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้มาจากการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 สำหรับสังคมไทย วุฒิสภาจึงไม่ได้มีที่มาจากรากฐานทางประวัติศาสตร์อะไรเหมือนอังกฤษ หรือไม่ได้มีที่มาจากการความจำเป็นของรูปแบบรัฐเหมือนประเทศสหรัฐอเมริกา แต่วุฒิสภาของไทยเป็นสถาบันทางการเมืองที่คณะรัฐประหารกับกลุ่มชนชั้นนำจารีตออกแบบมา เพื่อกำกับ ควบคุม และกดทับอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง โดยหลอกเราในหนังสือเรียนว่าจำเป็นต้องมีวุฒิสภาเพื่อช่วยกลั่นกรองกฎหมาย หรือเพื่อสร้างกลไกในการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจ วุฒิสภาจึงเป็นป้อมปราการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ที่ประชาชนและผู้แทนราษฎร ซึ่งมาจากประชาชนควรถอดรื้อออกไป

 

“พวกเราถูกฝังหัวมาโดยตลอดว่าปัญหาของการเมืองไทยนั้น เกิดขึ้นจาก ‘นักการเมือง’ ที่มาจากการเลือกตั้ง  ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เวลาเราจะปฏิรูปการเมืองกัน จึงพุ่งเป้าไปแต่การจัดการกับสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาล ซึ่งได้อำนาจโดยตรงมาจากประชาชน  ไม่ปฏิเสธว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งยังมีปัญหาต้องแก้ไขปรับปรุงอีกหลายอย่าง แต่ผมอยากจะบอกว่า นักการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งอันตรายยิ่งกว่า เครือข่ายนักการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งสามารถใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ เป็นอภิสิทธิ์ชน ประชาชนตรวจสอบไม่ได้ แตะต้องไม่ได้ บางทีวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังไม่ได้” นายพิธา ย้ำ



หัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายอีกว่า เครือข่ายอำนาจเหล่านี้ฝังตัวอยู่ในระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ อันศักดิ์สิทธิ์ อยู่เหนืออำนาจของประชาชน ไม่ว่าจะในนามความมั่นคงของชาติ ในนามตุลาการภิวัตน์ หรือในนามองค์กรอิสระที่อิสระอย่างสิ้นเชิงจากประชาชน ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่พวกเราควรต้องมาช่วยกันออกแบบระบบการเมืองกันใหม่ ให้อำนาจสูงสุดของประชาชน ปรากฎเป็นจริงให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม มีระบบการแบ่งแยกอำนาจและการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจที่มีประสิทธิภาพและยึดโยงกับประชาชน ไม่เช่นนั้นปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ร้าวลึกลงเรื่อย ๆ ในรอบเกือบสองทศวรรษ จะไม่สามารถคลี่คลายลงไปได้”

 

นายพิธา อภิปรายต่อไปว่า อยากเตือนด้วยความหวังดีว่า เราไม่สามารถปล่อยให้สิ่งที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ฉุดรั้งและกัดกินสังคมไทยต่อไปได้อีกแล้ว เราเหลือเวลาอีกไม่มากนัก ที่จะต้องตั้งหลักกันใหม่ เพื่อช่วยกันพลิกฟื้นสังคมไทยให้พร้อมเผชิญหน้ากับโลกอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยความท้าทายแบบใหม่ ๆ

 

“เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมไม่สบายใจอย่างยิ่งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเข้าชื่อกันมาให้เราพิจารณาในวันนี้ เสนอให้ปฏิรูปที่มา อำนาจ และการตรวจสอบศาลรัฐธรรมนูญด้วย ผมจะไม่อภิปรายถึงเนื้อหาของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพียงอยากจะชี้ให้เห็นว่า ขณะที่เรากำลังพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องการแก้ปัญหาของระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ กันอยู่ คำวินิจฉัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เหตุการณ์ผู้ชุมนุมถูกยิงด้วยกระสุนจริงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา ตลอดจนคำสั่งไม่ให้ประกันตัวคุณรุ้ง (ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล) ผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 เมื่อวานนี้ (15 พ.ย.) กลับสะท้อนให้เห็นอาการ “ลงแดง” ของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ

 

“ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ นี้กำลังมองเห็นประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนคนหนุ่มสาว ว่าเป็นศัตรูของชาติซึ่งจะต้องกำจัดให้สิ้นซาก แทนที่จะมองเห็นพวกเขาเป็นอนาคตของชาติ  ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ นี้กำลังทำลายโอกาสและพื้นที่ที่พวกเราสามารถจะแสวงหาฉันทามติร่วมกันได้อย่างสันติ แม้จะไม่ได้เห็นด้วยกันทั้งหมดทุกเรื่อง ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ กำลังผลักให้ความคิดและเสียงของประชาชนที่ชนชั้นนำจารีตไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน ไปเป็นขบวนการล้มล้างการปกครอง ไปเป็นคู่ขัดแย้งกับสถาบันพระมหากษัตริย์และกลุ่มผู้จงรักภักดี”นายพิธา ย้ำ



หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า สภาวะเช่นนี้อันตรายอย่างยิ่งกับสังคมไทย  แต่ยังเชื่อว่า ยังพอมีเวลาแก้ไขความผิดพลาดในอดีตได้ ก่อนจะสายเกินการณ์ จึงอยากเชิญชวนให้เพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรช่วยกันยืนยันอำนาจสูงสุดของประชาชนด้วยการโหวตรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชน และอยากเชิญชวนให้ผู้จงรักภักดีตั้งสติเสียใหม่ หยุดผลักให้คนที่คิดเห็นต่างไปกลายเป็นขบวนการล้มล้างการปกครอง แล้วแสดงให้ประชาชนเห็นว่า สังคมไทยสามารถจะรักษาสิ่งที่พวกท่านรักและหวงแหนได้ โดยไม่ต้องทำลายอำนาจสูงสุดของประชาชน



“สังคมไทยยังสามารถจะรักษาสิ่งที่พวกท่านรักและหวงแหนได้ โดยไม่ต้องทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชน สังคมไทยยังสามารถจะรักษาสิ่งที่พวกท่านรักและหวงแหนได้ โดยไม่ต้องเอาใครไปขังคุกแบบไม่มีชื่อไม่มีแป แสดงให้เห็นสิครับ แล้วสังคมไทยที่พวกเรารัก จะไม่เดินไปสู่ทางตัน” พิธา กล่าวทิ้งท้าย


“พิธา” ชำแหละ “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ”  มองสิทธิเสรีภาพเป็นแค่ไม้ประดับ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ