แผนปฏิรูปสิงห์เจ้าท่าเกมวัดใจ"มาดามแป้ง"

 การเป็นคนมีฝีมือและดีกรีแชมป์ติดตัว แต่ที่กล่าวมาไม่ได้การันตีว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป โดยเฉพาะกับทีมฟุตบอลย่านคลองเตย ที่โค้ชเก่งๆหลายคนต้องเอาชื่อมาทิ้ง เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ทุกคนคิดว่าต้องเป็นการท่าเรือ เอฟซี แน่นอน ถูกต้องนะครับ ทีมที่กล่าวถึงคือการท่าเรือ เอฟซี ทีมขวัญใจชาวคลองเตย   อันมี "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ เป็นหัวเรือใหญ่

 

ทำไมถึงต้องหยิบเรื่องของ"สิงห์เจ้าท่า"มาเขียนในบทวิเคราะห์นี้ เหตุผลง่ายๆ คือ  "โค้ชโอ่ง" ดุสิต เฉลิมแสน หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีม พึ่งประกาศลาออกจากทีมไปหมาดๆ เป็นข่าวที่เซอร์ไพรส์และสร้างความประหลาดใจ ให้กับแฟนบอลการท่าเรือ ว่าทำไมอยู่ดี"โค้ชโอ่ง" ถึงโบกมืออำลาทีมไปดื้อๆ และอะไรที่ทำให้อดีตแบ็คซ้ายดาราเอเชีย เก็บข้าวของออกจากแพทสเตเดี้ยม  นับจากวันแรก  ที่ได้รับการเชื้อเชิญจาก "มาดามแป้ง"  ให้เข้ามาทำหน้าที่สานงานต่อก่องานใหม่ ให้กับ  การท่าเรือ  เอฟซี

 เรื่องแรกเลยทำให้ตำนานทีมชาติไทยรายนี้ ลุกจากเก้าอี้กุนซือการท่าเรือ คือผลงานที่ไม่ได้ตามเป้าหมายที่ผู้บริหารทีมวางเอาไว้ คือการ"ลุ้นแชมป์ไทยลีก" ที่ขณะนี้ ถ้าไม่รับเกมล่าสุดที่เปิดบ้านชนะ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี    ฝั่งการท่าเรือ แทบจะหมดลุ้นแชมป์ไปแล้วเพราะมีแต้มตามหลังจ่าฝูงอย่าทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ถึง 8 คะแนน และคว้าชัยชนะไปเพียงแค่ 4 เกม จาก 11 เกม ถือว่าน่าผิดหวังกับเม็ดเงินที่  "มาดามแป้ง"  นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานสโมสร อัดลงไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อซีซั่น

เรื่องที่สอง คือการทำงานของ"โค้ชโอ่ง" ถึงตรงนี้ต้องถามว่า"โค้ชโอ่ง"สามารถทำงานได้เต็มที่หรืออำนาจเบ็ดเสร็จในการคุมทีมอยู่ในมือหรือไม่ เพราะถ้าไม่  คงเป็นสิ่งที่พูดยากถ้าหากจะบอกว่า"โค้ชโอ่ง" ทำทีมล้มเหลวหลังผ่านไปเพียง 11 เกม การแทรกแซงโค้ช หรือการเข้ามาก้าวก่ายในห้องแต่งตัว ของคนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกสอน ไม่ใช่เรื่องใหม่ในฟุตบอลไทย เรื่องนี้อยู่คู่กับฟุตบอลไทยมาทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ในปัจจุบันหลายทีมยังคงเป็นแบบนั้น และ"ที่นี่ท่าเรือ"คงไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก

 เรื่องที่สาม การที่มีนักเตะฝีเท้าดีทุกตำแหน่งอยู่ในทีมไปเต็มไปหมดและทุกคนล้วนเป็นนักเตะที่จัดได้ว่า หากไปอยู่ทีมอื่นสามารถลงเล่น 11 ตัวจริงได้สบาย เพราะฉะนั้นการโค้ชชิ่งทีมในลักษณะนี้ ถือว่ามีความยากพอสมควร เพราะนักเตะสามารถทดแทนกันได้ ทำให้โค้ชต้องคิดหนักว่า เกมนี้จะเอาใครเล่น จะให้ใครนั่งสำรอง ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ถือเป็นสิ่งที่ดีและโค้ชทุกคนอยากจะมีทีมแบบนี้ แต่ถ้าบริหารจัดการทีมได้ไม่ดี ประกอบกับมีอำนาจมืดนอกห้องต้องแต่งตัวเข้ามาแทรกแซงการทำงาน ยิ่งทำให้ทุกอย่างพร้อมจะพังได้เสมอ

 

 เรื่องที่สี่ ความกระหายของนักฟุตบอลการท่าเรือ เคยมีคนกล่างไว้ว่า "หากคุณเลี้ยงแมวอิ่มจนเกินไป แมวจะไม่ออกล่าหนูให้คุณ"  สิ่งที่จะกล่าวถึงคือเมื่อนักฟุตบอลได้รับค่าแรงที่สูงและทำให้เขาสุขสบาย ในมุมหนึ่งอาจทำให้พวกเขาแสดงศักยภาพที่สุดยอดเพื่อตอบแทนเม็ดเงินที่สโมสรจ่าย แต่ในอีกมุมนึงเมื่อเขารู้สึกว่าอยู่อย่างสุขสบายแล้ว ทำไมเขาต้องดิ้นรน ไปซ้อมตามโปรแกรม ได้เล่นตัวจริงบ้างสำรองบ้าง สิ้นเดือนเงินเดือนออกตรงเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้ แค่นี้เขาก็พอใจ แต่ผมเชื่อว่านักฟุตบอลทุกคนล้วนอยากลงเล่น อยากพิสูจน์ตนเอง อยากช่วยทีม แต่ที่ผมกล่าวมา ก็คงมีคนที่คิดแบบนี้จริงๆ แต่ไม่ใช่ทุกคน

สิ่งที่"มาดามแป้ง"  ต้องเร่งทำให้ฐานะประธานสโมสรและคนจ่ายเงิน คือการยกเครื่องหรือปฏิรูป การท่าเรือ เอฟซีใหม่อีกครั้ง ปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารอะไรที่มันซ้ำซ้อนกันอยู่ก็ยุบไปปรับไป นักเตะคนใดที่เงินเดือนสูงแต่ฟอร์มไม่ตอบโจทย์ ต้องใจแข็งโละทิ้งไปบ้าง เพื่อเป็นการกระตุ้นนักเตะที่เหลืออยู่ให้เค้นฟอร์มเก่งออกมาได้ทั้งซีซั่น รวมถึงการวางแผนงานระยะยาว การปรับโครงสร้างทีมให้เกิดความยั่งยืน ที่ในอนาคตจะทำให้"มาดามแป้ง" ไม่ต้องควักเงินปีละหลักร้อยล้านบาททุกปี 

ถ้า  "การท่าเรือ เอฟซี " ยังไม่มีการปรับปรุงสโมสรให้ดีขึ้น เชื่อว่า"โค้ชโอ่ง" ไม่ใช่โค้ชคนสุดท้ายที่ต้องสังเวยผลงานห่วย จะมีคนฝีมือดีทั้งไทยและเทศ เอาชื่อมาทิ้งที่คลองเตยอย่างต่อเนื่อง จนในอนาคตโค้ชชาวไทยจะขยาดไม่กล้าเข้าไปรับงานในถิ่นแพท สเตเดี้ยม เพราะรู้ว่าต้องเจอกับอะไร และโค้ชต่างชาติพอมาเจอการบริหารแบบไทยก็อยู่ได้ไม่ยืด ถึงตรงนี้ถึงทางแยกต้องวัดใจมาดามแป้ง ว่าจะไปทางไหน เอาแบบเดิมๆหรือจะเอาแบบสากล ที่ต้องก้าวข้ามผ่านพาทีมไปสู่ความสำเร็จตามที่ใจต้องการ    
 

"มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ  ประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟซี ที่ต้องสูญเสีย " โค้ชโอ่ง" ดุสิต เฉลิมแสน ออกจากทีม  เมื่อฝ่ายหลังแสดงความรับผิดชอบกับผลงาน ที่ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายประกาศขอลาออก เมื่อคุมทีมไปได้ 11  นัด

 

ขอขอบคุณภาพจาก สโมสรการท่าเรือ เอฟซี