ข่าว

สภาองค์กรของผู้บริโภค ลั่นพร้อมให้ตรวจสอบ ท้วง DSI อย่าทำตัวเป็นโจร !!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สอบ. ลั่นพร้อมให้ตรวจสอบทุกกรณี หลังถูกร้องเรียนมีสมาชิกเป็นองค์กรทิพย์ ร่วมฉกเงินหลวง 350 ล้านบาท พร้อมจี้กระทรวงยุติธรรมเร่งตรวจสอบ กรณีบุคคลอ้างเป็น DSI บุกตรวจสอบองค์กรสมาชิกเพราะมีพฤติการณ์คุกคามประชาชน ท้วง DSI อย่าทำตัวเป็นโจรเพราะเราไม่ใช่โจร

จากกรณีที่เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา องค์กรสมาชิกของสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) ถูกบุคคลแสดงตนว่าเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ สังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ (DSI) ขอเข้าตรวจค้นโดยไม่ได้มีหนังสือหมายเชิญให้ถ้อยคำหรือขอให้ส่งเอกสารใด ๆ เพื่อตรวจสอบล่วงหน้า อีกทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้แสดงพฤติกรรมที่ สอบ. เห็นว่าอาจจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม จึงได้ทำจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการตอบกลับใด ๆ นั้น
    


วันนี้ (12 พ.ย.) เวลา 10.00 น.  สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) และองค์กรสมาชิก ได้จัดแถลงข่าว ‘สภาองค์กรของผู้บริโภค เรียกร้อง ยธ. ตรวจสอบกรณีบุคคลอาจอ้าง DSI บุกตรวจสอบองค์กรสมาชิก’ เพื่อเป็นเวทีให้สาธารณชนได้ทราบถึงการดำเนินงานของ สอบ. รวมทั้งกรณีที่องค์กรสมาชิกถูกตรวจสอบ  โดยนางสาวบุญยืน ศิริธรรม ประธาน สอบ. กล่าวว่าสมาคมผู้บริโภคภาคตะวันตกเป็นองค์กรแรกที่ถูกบุคคลแสดงตัวเป็นดีเอสไอเข้าไปตรวจค้น และหลังจากนั้นได้ทราบว่ามีองค์กรสมาชิกของ สอบ. ในหลายจังหวัด เช่น นครนายก ฉะเชิงเทรา ถูกกลุ่มบุคคลดังกล่าวเข้าไปตรวจสอบด้วยเช่นกัน ซึ่งองค์กรที่ถูกตรวจสอบนั้นล้วนเป็นองค์กรที่ผ่านการรับรองจากสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) แล้วทั้งสิ้น

ส่วนกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร้องเรียนว่าองค์กรสมาชิกบางแห่งไม่มีอยู่จริง เป็นองค์กรทิพย์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อได้เงินงบประมาณที่รัฐจัดสรรให้กับสภาองค์กรของผู้บริโภค จำนวน 350 ล้านบาทนั้น ขอชี้แจงว่าในส่วนของสมาชิกองค์กรนั้น ในขณะนี้มีกว่า 200 องค์กร และถูกนายศรีสุวรรณ ตั้งเป้าตรวจสอบ 151 องค์กรนั้น ในส่วนของคุณสมบัติเพื่อให้สามารถจัดตั้งเป็นองค์กรสมาชิกของสภาองค์กรของผู้บริโภคนี้เป็นหน้าที่ของ สปน.ในการตรวจสอบและให้การรับรอง ซึ่ง สอบ.ทำหน้าที่เพียงรวบรวมให้ได้สมาชิกองค์กรให้ครบตามที่กฎหมายกำหนดไว้คือ 150 องค์กรสมาชิก ดังนั้น หากมีบางองค์กรที่ตั้งขึ้นมาอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ต้องไปตรวจสอบกับ สปน. ไม่ใช่มาตรวจสอบที่ สอบ. ส่วนการนำเงิน 350 ล้านเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินงานของ สอบ.และสมาชิกในองค์กรนั้น ก็มีการเสนอโครงการชัดเจน สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินได้เพราะ สอบ. ต้องรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนผู้แทนราษฎรด้วย

“เราไม่กลัวที่จะถูกตรวจสอบ และพร้อมให้ตรวจสอบ การดำเนินงานของเราโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่กลัวอยู่แล้ว แต่การเข้ามาตรวจสอบของดีเอสไอ ต้องทำให้ถูกต้อง อยากให้องค์กรของรัฐดำเนินการกับประชาชนอย่างถูกต้อง มาแบบเจ้าหน้าที่รัฐ อย่ามาแบบโจร เพราะคุณไม่ใช่โจร เราก็ไม่ใช่โจร” น.ส.บุญยืน กล่าวและว่า เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น กรรมการในองค์กรที่ถูกตรวจสอบเกิดความเข้าใจผิดและไม่เข้าใจกัน หรือบางองค์กรยังถูกประชาชนหรือหน่วยงานในพื้นที่จับตามอง ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรนั้น ๆ นอกจากนี้ ยังทำให้องค์กรสมาชิกอื่น ๆ เกิดความตื่นตระหนกและรู้สึกไม่ปลอดภัยอีกด้วย และอยากถามกลับว่าถ้าผลการตรวจสอบพบว่าสมาชิกองค์กรที่ถูกร้องเรียนนั้นได้ตั้งขึ้นมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดีเอสไอและนายศรีสุวรรณ พร้อมจะรับผิดชอบต่อเรื่องนี้หรือไม่


    
ด้าน น.ส.สุภาวดี วิเวก หัวหน้าหน่วยงานประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา ระบุว่าตอนที่มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบ บุคคลเหล่านั้นไม่ได้แสดงเอกสารหลักฐานว่าการเข้ามาตรวจสอบในครั้งนี้มีที่ไปที่มาอย่างไร หรือใครร้องเรียน ดังนั้น เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานประจำจังหวัดฯ จึงไม่ให้เข้าตรวจค้น และแจ้งกลับไปว่าหากต้องการตรวจต้องมีเอกสารการตรวจค้นมาด้วย บุคคลดังกล่าวจึงไม่ได้ข้อมูลกลับไป อย่างไรก็ตาม หน่วยประจำจังหวัดได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว เนื่องจากรู้สึกไม่ปลอดภัยที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น 


    
ขณะที่ นายรี โฉมสำอางค์ ตัวแทนองค์กรผู้บริโภค จังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่แสดงตัวว่าเป็นดีเอสไอ โดยใช้วิธีสุ่มโทรศัพท์หากรรมการขององค์กรเพื่อสอบถามข้อมูล ซึ่งมองว่าไม่ใช่แนวทางปกติของหน่วยงานราชการที่ควรปฏิบัติ จึงตั้งข้อสงสัยถึงวิธีการปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ องค์กรฯ ได้ดำเนินการแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้วเช่นกัน เนื่องจากข้อมูลที่พูดคุยกันทางโทรศัพท์ มีข้อมูลส่วนตัวที่ควรจะเป็นความลับ


    
ขณะที่ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการ สอบ. ระบุว่า สอบ.ได้ทำจดหมายถึงดีเอสไอ ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย. 64 เพื่อให้ตรวจสอบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่ได้รับมอบหมายอำนาจมาหรือไม่ และเป็นการกระทำโดยชอบตามพระราชบัญญัติกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 หรือไม่ แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ สอบ. จึงมีข้อเรียกร้องดังนี้


1.ขอให้กระทรวงยุติธรรม ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลดีเอสไอ ตรวจสอบและจัดการปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว เนื่องจากปัจจุบันยังมีองค์กรสมาชิกของ สอบ. ที่ถูกบุคคลที่แสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่อีเอสไอขอเข้าตรวจคนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบั่นทอนกำลังใจผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ รวมถึงการทำงานขององค์กรสมาชิกของ สอบ. ด้วย


2. หากกรณีดังกล่าวเข้าข่ายประพฤติผิดวินัย ขอให้มีการดำเนินการตามวินัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 


3. ขอให้ทั้ง 2 หน่วยงาน (กระทรวงยุติธรรมและดีเอสไอ) ออกมาชี้แจงต่อสาธารณะถึงกรณีดังกล่าวเพื่อให้เกิดความกระจ่าง และเป็นการสร้างความยุติธรรมต่อองค์กรผู้บริโภคและสภาของผู้บริโภค  

 

น.ส.สารี กล่าวด้วยว่าสภาองค์กรของผู้บริโภค อยากขอให้สื่อมวลชนติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่ อันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้บริโภคเพระสมาชิกองค์กร 16 แห่งที่ถูกนายศรีสุวรรณ ร้องเรียนนั้น จากการตรวจสอบของ สอบ. พบว่ามี 11 องค์กรที่รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย ส่วนอีก 5 องค์กร ก็ทำงานด้านการดูแลผู้บริโภคมาตั้งแต่ปี 2545 แล้ว และมีตัวตนอยู่จริง ไม่ใช่องค์กรทิพย์

 

“เราไม่อยากคิดว่าที่มีการพุ่งเป้ามาตรวจสอบสภาองค์กรของผู้บริโภคนี้ เป็นเพราะต้องการล้มสภาองค์กรขงผู้บริโภคหรือไม่ เพราะเราทำหน้าที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของประชาชน เราไม่ได้มีเจตนา หรืออยากไปเล่นงานใคร หรือองค์กรใด หรือบริษัทใด ในการตรวจสอบประเด็นต่าง ๆ ก็เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภคให้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นข้อมูลที่คุณศรีสุวรรณ ร้องเรียนนั้น ไม่ทราบว่ารับข้อมูลมาจากใครเพราะไม่มีมูลเลย” น.ส.สารี กล่าวและย้ำว่าอยากให้อธิบดีดีเอสไอ สอบสวนการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่เป็นในลักษณะคุกคามประชาชน

 

ด้าน น.ส.อารีวรรณ จตุทอง นักกฎหมายและอนุกรรมการพิจารณาคดีของ สอบ. ระบุว่าการเข้ามาตรวจสอบข้อมูลของดีเอสไอนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นวิธีปฏิบัติราชการในการสืบสวนหรือสอบสวน หรือเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นเพื่อตรวจสอบว่าสามารถเป็นคดีพิเศษ และจะเตรียมขออนุมัติจากคณะกรรมการคดีพิเศษหรือไม่อย่างไรนั้น คงต้องสอบถามผู้บริหารของกรมดีเอสไอด้วย เนื่องจากการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบได้นั้นจะต้องมีการขออนุมัติการเดินทางไปราชการตามระเบียบข้าราชการ 


    
“พฤติการณ์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่พึงปฏิบัติต่อประชาชน ควรต้องใช้ความระมัดระวังเนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กร และเรื่องในลักษณะเช่นนี้ สอบ. มีสิทธิเสนอให้กรมดีเอสไอ ตรวจสอบพฤติกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับวินัยข้าราชการพลเรือนทั่วไป หากพบว่าข้าราชการของกรมมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในการติดต่อกับประชาชน” น.ส.อารีวรรณ กล่าว

 

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ได้บัญญัติและให้อำนาจในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษต้องเป็นคดีความผิดทางอาญาตามที่ระบุไว้ในมาตรา 21     


    
(1) คดีที่มีความผิดทางอาญาตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้และที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยการเสนอแนะของคณะกรรมการคดีพิเศษ ซึ่งต้องมีลักษณะเป็นคดีอาญาที่มีความซับซ้อน หรือเป็นคดีอาญาที่มีผลกระทบรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี ความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ หรือเป็นคดีอาญาที่มีการกระทำความผิดข้ามชาติที่สำคัญหรือเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรมทหรือเป็นคดีอาญาที่มีผู้มีอิทธิพลเป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน หรือเป็นความผิดทางอาญาที่มีพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ต้องสงสัย 


    
(2) คดีความผิดทางอาญาอื่นที่คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสาม อีกทั้งคดีดังกล่าวควรเป็นที่มีคดีสำคัญมีผลกระทบกับประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งองค์กรผู้บริโภคที่ถูกตรวจสอบกลับไม่เคยได้รับทราบข้อกล่าวหาว่าองค์กรได้กระทำความผิดอาญาใดที่เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ


    
นอกจากนั้นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคดีพิเศษตามมาตรา 24 วรรคสอง (2) นั้นได้กำหนดหลักไว้ว่า การใช้อำนาจตามวรรคหนึ่ง (1) คือ การเข้าไปในเคหสถาน หรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้น ซึ่งนอกจากเจ้าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษต้องดำเนินการวิธีการค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว พนักงานสอบสวนยังต้องแสดงความบริสุทธิ์ก่อนเข้าค้น บันทึกเหตุสงสัยตามสมควรและเหตุอันควรเชื่อที่ทำให้สามารถเข้าค้นได้ โดยให้เป็นหนังสือไว้แก่ผู้ครอบครองเคหสถานหรือสถานที่ค้น 
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ