"อัยการ" มั่นใจ สั่งคดี "ผู้กำกับโจ้" ภายใน 17 พ.ย. ก่อนครบฝากขังผัดสุดท้าย

3 พ.ย.2564  นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมด้วย นายประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ  พลตำรวจตรีสุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และพันตำรวจเอก เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม  แถลงความคืบหน้าคดีพันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้ และพวก ร่วมกันซ้อมทรมานผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต ที่จังหวัดนครสวรรค์ หลังจากที่ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน สรุปสำนวนคดีและมีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง พันตำรวจเอกธิติวรรค์ และพวก ซึ่งเป็นตำรวจ รวม 7 นาย ในความผิด 4 ข้อหาหลัก ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ร่วมกันปฎิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และ ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย

นายอิทธิพร ระบุว่า คดีนี้ผู้ถูกกล่าวหาจะครบกำหนดฝากขังผัดที่ 6 ในวันที่ 5 พฤศจิกายน จำนวน 5 คน  และอีก 2 คน จะครบกำหนดฝากขังผัดที่ 6 ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ซึ่ง 1 ใน 2 คนหลังมี ตัว อดีตผู้กำกับโจ้ด้วย โดยหลังจากรับสำนวนคดีนี้ อัยการสูงสุด จะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาสั่งคดีตามกฎหมาย 

พนักงานอัยการ ยอมรับว่า แม้จะเหลือเวลาในการพิจารณาสำนวนคดีนี้ อีก 14 วัน จึงมั่นใจว่า จะมีความเห็นทางคดีได้ทันตามกรอบเวลาที่เหลือ   เพราะหากมีความเห็นคดีไม่ทันตามกำหนดระยะเวลา ตามกฎหมายระบุว่า ต้องปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหา และเมื่อมีความสั่งคดีได้เมื่อไรนั้น  ให้นำตัวผู้ต้องหา มาส่งฟ้องได้ในภายหลัง

พลตำรวจตรีสุวัฒน์ ยืนยันว่า คดีนี้พนักงานสอบสวน ทำงานประสานข้อมูลกับอัยการมาโดยตลอด ดังนั้น การสอบสวนจึงเป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดอย่างแน่นอน ส่วนคดีการครอบครองรถยนต์หรูและคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์สินและการฟอกเงิน พนักงานสอบสวน ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก

ส่วนประเด็นที่ผู้ต้องหา ทั้ง 7 ราย ต่างไม่ให้การในชั้นสอบสวนเหมือนกัน และมีกระแสข่าวว่า อาจจะเป็นการนัด การให้การเนื่องจากถูกจำคุกอยู่ในแดนเดียวกัน เนื่องจากตัว ผู้กำกับโจ้ ไม่พอใจที่ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มในประเด็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ป.ป.ช.   พลตำรวจตรีสุวัฒน์ ระบุว่า เรื่องการแยกแดนจำคุก ทางตำรวจคงต้องไม่ต้องทำเรื่องใดๆ เพราะ แม้ตัวผู้ต้องหาทั้งเจ็ดรายจะไม่ให้การในชั้นพนักงานสอบสวนแต่หลักฐานที่พนักงานสอบสวนมีสามารถบ่งชี้พฤติกรรมของแต่ละบุคคลได้อย่างชัดเจนซึ่งการไม่ให้การต่อพระงานสอบสวนก็จะเป็น ผลที่จะส่งกลับไปยังตัวผู้ต้องหาเอง คณะทำงานมั่นใจถึงหลักฐานทั้งหมดที่มี

นายประยุทธ  ระบุว่า สำหรับคดีนี้แยกเป็น 2 สำนวน คือ สำนวนคดีหลักที่ส่งฟ้องในวันนี้  ส่วนอีกสำนวนเป็นการไต่สวนสำนวนคดีการเสียชีวิตที่อยู่ระหว่างการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของอัยการจังหวัดนครสวรรค์ และสำนวนนั้น จะถูกนำมารวมไว้กับสำนวนคดีรักที่ส่งฟ้องในวันนี้