ข่าว

"เปิดประเทศ" หวั่นเชื้อควบรวมสาย เจอภาวะดื้อวัคซีน สาธารณสุขประเทศวิกฤต

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

หมอดื้อ แจง 7 ข้อ ห่วง "เปิดประเทศ" 1 พ.ย. หวั่นเชื้อโควิด-19 ควบรวมสายพันธุ์ เหตุวัคซีนไม่แข็งแรง ทำระบบสาธารณสุขประเทศวิกฤต

(27 ต.ค.64) นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ถึงกรณีการเตรียม "เปิดประเทศ" เพื่อรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 พ.ย.2564 ในหัวข้อ เปิดประเทศหนึ่งพฤศจิกายน..ต้องห่วงหรือไม่? แบ่งเป็น 7 ข้อ ดังนี้

 

สภาพพื้นฐาน

 

1. เปิดประเทศหมายความรวมถึงคนไทย และคนต่างประเทศในการใช้ชีวิตและเดินทางสัญจร

2. ตัวเชื้อ: ตัวเลขการติดเชื้อมีความเป็นไปได้สูง ที่มากกว่าตัวเลขที่รับทราบในปัจจุบัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการตรวจมากหรือน้อย และการใช้ ATK ซึ่งมีข้อจำกัด และหลุดรอดได้มาก เชื้อที่อาจหลุดรอดจากต่างประเทศ มีความเป็นไปได้ และลักษณะหน้าตาจะผิดเพี้ยนจากที่มีในประเทศ และประสมควบรวมกันต่อไป

3. การตรวจ: ในปัจจุบัน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการตรวจคัดกรองโดยไม่มีพิธีรีตอง โดยกระบวนการพีซีอาร์ ที่ต้องทำได้ทั่วทุกหัวระแหง ทำให้ไม่สามารถสะท้อนสถานการณ์ความเป็นจริง ที่อาจจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆได้ และไม่สามารถนำไปสู่การแยกตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. การแพร่กระจาย: ผลกระทบจากการแพร่ แม้จะไม่มีอาการก็ตาม เปิดโอกาสให้ไวรัสมีการปรับแต่งตัวเอง และอาจนำไปสู่ความสามารถในการติดและการดื้อวัคซีนมากขึ้น

 

4. การแพร่กระจาย : ผลกระทบจากการแพร่ แม้จะไม่มีอาการก็ตาม เปิดโอกาสให้ไวรัสมีการปรับแต่งตัวเอง และอาจนำไปสู่ความสามารถในการติดและการดื้อวัคซีนมากขึ้น

5. วัคซีน : จำนวน 2 เข็ม ที่ขณะนี้ 40% ควรต้องพิจารณาถึง 2 เข็มที่ฉีดไปนานแล้ว โดยเฉพาะที่เป็นเชื้อตาย ดังนั้น ตัวเลข ผู้ที่ยังคงมีภูมิป้องกันการติดเชื้อ จะน้อยกว่า และนอกจากนั้น เชื้อที่พัฒนาขึ้น มีความเป็นไปได้สูงที่จะดื้อวัคซีน โดยที่ประสิทธิภาพจะลดลงเรื่อย ๆ จนน้อยกว่า 50% หรือแทบไม่ได้เลยโดยเฉพาะกับวาเรียนท์ เบต้า 

 

การฉีดรวดเร็วเชิงรุกคลุม 80-90% และปลอดภัยสูง เป็นการฉีดเข้าชั้นผิวหนัง โดยที่พิสูจน์แล้ว ทั้งที่เป็นเข็มกระตุ้นตาม 2 เข็มแรก ที่ไม่ใช่สูตรไขว้ SV+ AZ ซึ่งได้ผลไม่ดี การฉีดเข้าชั้นผิวหนังมีการทดสอบแล้วตั้งแต่เป็นเข็มแรกที่เป็น MDN

 

ถ้าไม่สามารถแก้ไขการฉีดวัคซีนทั่วถึงและอย่างปลอดภัยได้ โอกาสที่การติดเชื้อจะแพร่ระบาดลุกลามไปได้ทุกพื้นที่และอาการสีเหลืองส้มและสีแดงจะเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

6. การรักษา : ที่ควรต้องทำอย่างยิ่ง คือการใช้สมุนไพรในประเทศในลักษณะของการให้ ตั้งแต่นาทีแรกที่ติดหรือน่าจะติด ทั้งนี้ ต้องพิจารณาอย่างรีบด่วน และถ่องแทั ถึงยาทางเลือกตัวอื่น ที่มีข้อขัดแย้ง และข้อสนับสนุนในเรื่องประสิทธิภาพ ทั้ง ๆ ที่ไม่ติดสิทธิบัตร และสามารถผลิตในประเทศไทยได้เองโดยสามารถทำให้ราคาไม่กี่บาท

 

สิ่งเหล่านี้จะช่วยตรึงไม่ให้อาการของโรคยกระดับขึ้นจนต้องเข้า โรงพยาบาล และสถานพยาบาลในระดับต่างๆและนำไปสู่การรักษา ด้วยฟาวิพิราเวีย โมลนูพิราเวีย ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่ายาเหล่านี้จะช่วยในกรณีที่อาการเป็นสีเหลือง หรือเหลืองแก่จะดีที่สุด และการใช้อย่างมหาศาล เป็นไปได้ที่จะมีการดื้อยาเกิดขึ้น ยาแอนตี้บอดี้ ที่ยับยั้งไวรัสได้ชั่วคราวรวมทั้งที่ลดการอักเสบมีราคาสูงมาก

 

7. วินัย : สถานการณ์ที่มีการประกาศทุกวัน ถึงตัวเลขที่ลดลง ความรุนแรงที่ดูน้อยลงตามวัฎจักรของโควิด ที่จะบรรเทาเบาบาง ไประยะหนึ่งเมื่อความหนาแน่นของการติดเชื้อมากขึ้น พร้อมกับการผันแปรของรหัสพันธุกรรม จึงจะเห็นตัวจริงอีกครั้งสภาพประหนึ่ง เสมือนว่าคลี่คลายบวกกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่พังสลายทำให้ต้องมีกิจกรรมทางสังคมและในชุมชนต่างๆเกิดขึ้นรวมทั้งการเปิดโรงเรียน

 

ผลกระทบ


ถ้าไม่สามารถยกระดับความเข้มแข็ง ทั้งวัคซีน การตรวจ และการรักษาตั้งแต่นาทีแรกได้ในระยะไม่นาน อาจเผชิญกับสถานการณ์ดื้อวัคซีนด้วยเชื้อ subvariants จนถึง เชื้อใหม่จากการควบรวมสายต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และนำไปสู่วิกฤติของระบบสาธารณสุข ที่กระทบคนป่วย ทั้งที่เป็น และไม่เป็นโควิด

 

"เปิดประเทศ" หวั่นเชื้อควบรวมสาย เจอภาวะดื้อวัคซีน สาธารณสุขประเทศวิกฤต

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ