รู้จัก "หมอเส็ง" เรื่องสมุนไพรไว้ใจผม หมอยาในตำนาน สู่นักธุรกิจหลักพันล้าน

นับเป็นข่าวเศร้าของวงการแพทย์แผนไทยเมื่อ "หมอเส็ง" หรือ "นาย ฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร" หมอแผนโบราณ ด้านการแพทย์แผนตะวันออก ที่ปรึกษาคลีนิคสุขภาพไตรเวชศาสตร์ และเจ้าของยาแผนไทย เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคไตวายเฉียบพลัน ในวัย 83 ปี ที่ รพ.บำรุงราษฎร์ กทม.

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยินชื่อ หมอเส็ง กับวลีคุ้นหูที่ว่า "เรื่องสมุนไพรไว้ใจผม"  หมอเส็ง มีชื่อจริงว่า นายฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรทั้งไทยและจีน เนื่องจากเติบโตและคลุกคลีกับยาแผนโบราณมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เนื่องจากบิดาเป็นหมอยามาจากประเทศจีน เปิดร้านรักษาโรคทั่วไปและขายยาสมุนไพรอยู่ที่ฉะเชิงเทรา จึงได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพรชนิดต่างๆ รวมทั้งการแมะหรือการจับชีพจร การดูลักษณะทางกายภาพของร่างกายจากธาตุทั้ง 4 จากบิดาจนเชี่ยวชาญ
 

ต่อมาได้แยกตัวออกมาเปิดร้านของตัวเองที่กรุงเทพมหานคร รักษาโรคทั่วไป โดยสอบได้ใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข ทั้งทางด้านเวชกรรม และเภสัชกรรม จากนั้นเมื่อมียาแผนปัจจุบัน หมอเส็งก็ขายยาแผนปัจจุบันควบคู่ไปด้วย แต่เพราะยาแผนปัจจุบันกินง่าย ไม่มีกลิ่นฉุนเหมือนยาแผนโบราณ ทำให้ขยายตัวสูงขึ้น ทำให้มีรายได้ดีมาก แต่ก็ทำให้ช่วงชีวิตหนึ่งของหมอเส็งต้องล้มลุกคลุกคลาน เพราะหลงไปกับความฟุ้งเฟ้อจากเงินที่หามาได้ง่าย ๆ นั้น ก่อนที่ชีวิตของหมอเส็งจะพลิกผันอีกครั้ง เมื่อได้มาเจอพระธุดงค์รูปหนึ่ง ซึ่งมีตำรายาโบราณเกี่ยวกับ "ว่านชักมดลูก" โดยท่านยังบอกว่า ว่านชักมดลูกตัวนี้จะทำให้หมอเส็งรวย ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

ต่อมาหมอเส็งได้ก่อตั้ง บริษัท ฉัตรชัยแพทย์แผนโบราณ จำกัด จัดจำหน่ายยาแผนโบราณให้กับร้านขายยาทั่วไป ขณะที่สังคมยอมรับเรื่องเพศมากขึ้น หมอเส็งจึงปรุงยาว่านชักมดลูกจนสำเร็จในปี 2542 สามารถเข้าสู่ตลาดและ กลุ่มคนได้อย่างกว้างขวาง และเมื่อความต้องการของตลาดขยายตัวสูงขึ้น หมอเส็งจึงหันมาเน้นเรื่องสมุนไพรทั้งไทยและจีนตามที่ตัวเองถนัด โดยเฉพาะการรักษาโรคเกี่ยวกับสตรี โรคอาการทางสมอง ที่มักพบในผู้สูงอายุ

กระทั่งปี 2545 ได้พัฒนาเข้าสู่ระบบ MLM ยอดขายเติบโตขึ้นอย่างมาก ภายใต้ชื่อ บริษัท ฉัตรสุริยะ(2002) จำกัด พร้อมสร้างโรงงานขนาดหลายสิบไร่   จนถึงปี 2558 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท หมอเส็ง (ไทยแลนด์) จำกัด ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ทำยอดขายแต่ละปีหลักหลายร้อนล้าน ไปจนกระทั่งมากกว่าพันล้านบาท