เด่นโซเชียล

"โรคหูด" ติดต่อทางการสัมผัสได้ แพทย์ผิวหนังเผย สาเหตุเกิด - วิธีรักษา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

แพทย์ผิวหนัง เผย "โรคหูด" เป็นโรคผิวหนังที่ติดต่อทางการสัมผัสได้ แต่ไม่อันตราย พร้อมแนะวิธีการรักษา หากสงสัยว่าเป็นให้รีบพบแพทย์ทันที

วันที่ 2 กันยายน 2564 กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง เผย "โรคหูด" เป็น โรคผิวหนัง ที่ติดต่อทางการสัมผัสได้ แต่ไม่อันตราย การ รักษาหูด มีหลายวิธี หากสงสัยว่าเป็นโรคหูดแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา รวมถึงป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อและการกลับมาเป็นซ้ำอีก 

 

 

 

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคหูดเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิด Human Papillomavirus ซึ่งเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงของผิวหนัง มีหลายชนิดและหลายขนาด รูปร่างจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น 

 

หูด อาจจะมีรอยโรคเดียวหรือขึ้นหลายรอยโรคก็ได้ สามารถเกิดตามเยื่อบุและตามผิวหนังของร่างกาย โดยมักจะขึ้นที่มือ เท้า ข้อศอก ข้อเข่า ใบหน้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รวมทั้งที่อวัยวะเพศได้ พบได้ทั่วไปโดยเฉพาะในเด็กวัยเรียน 

 

หูดสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสได้ โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่มีบาดแผล ส่วนใหญ่รอยโรคมักจะไม่มีอาการ นอกจากทำให้ดูไม่สวยงาม น่ารำคาญ ผู้ป่วยน้อยราย มักจะมีอาการเจ็บบริเวณตำแหน่งที่มีการกดทับ เช่น หูดที่ฝ่าเท้า ถ้าเสียดสีมาก ๆ อาจจะมีเลือดออกที่รอยโรคได้ และถ้ารอยโรคมีขนาดใหญ่จะเจ็บทำให้ไม่สามารถใส่รองเท้าได้ ประมาณสองในสามของหูดจะหายไปเองได้ในเวลา 12-24 เดือน โดยไม่ทิ้งรอยแผลไว้ และเมื่อหายแล้วก็อาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีก หากเป็นหูดที่อวัยวะเพศควรปรึกษาแพทย์ 

 

"โรคหูด" ติดต่อทางการสัมผัสได้ แพทย์ผิวหนังเผย สาเหตุเกิด - วิธีรักษา

 

 

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การรักษาหูด มีหลากหลายวิธี ได้แก่ 

 

1.การรักษาด้วยการทายา ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิก กรดแลคติก ซึ่งเป็นที่นิยมเพราะง่ายและราคาไม่แพง ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังตามคำแนะนำวิธีการใช้ในแต่ละแบบ เพราะกรดมีฤทธิ์กัดกร่อนสูงเนื่องจากใช้ความเข้มข้นค่อนข้างสูง และการทายาเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มาทำลายหูด เช่น ยา Imiquimod, Diphencyprone or squaric acid topical immunotherapy 

 

2.การจี้ทำลายรอยโรคด้วยเลเซอร์หรือการจี้ไฟฟ้า หลังทำเสร็จมักมีอาการปวด และอาจมีแผลเกิดขึ้นได้ จึงต้องมีการดูแลรักษาแผลอย่างต่อเนื่อง 

 

3.การจี้ไอเย็น โดยใช้ไนโตรเจนเหลว ข้อดี คือ ดูแลหลังการรักษาง่าย แต่อาจจะต้องจี้ซ้ำหลายครั้งแล้วแต่ขนาดและความหนาของรอยโรคจนกว่าจะหายขาด 

 

4.การผ่าตัดรอยโรคออกไป คือ การผ่าตัดเอาก้อนหูดออกไป 

 

ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวเพิ่มเติมว่า การรักษาหูด มักจะใช้เวลานาน อาจต้องใช้หลายวิธีการรักษาร่วมกัน และบางครั้งหลังการรักษาหูดอาจจะเกิดรอยแผลบริเวณที่ทำการรักษาได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าเป็น โรคหูด ควรมาพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกวิธี 

 

"โรคหูด" ติดต่อทางการสัมผัสได้ แพทย์ผิวหนังเผย สาเหตุเกิด - วิธีรักษา

 

ที่มา กรมการแพทย์ / ขอบคุณภาพจาก pobpad.com

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ