ข่าว

คุกตลอดชีวิต อดีตอธิบดีกรมสรรพากร สาธิต รังคสิริ คดีทุจริตคืนภาษี

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"ศาลอาญาคดีทุจริตฯ สั่งจำคุกตลอดชีวิต อดีต อธ.สรรพากร คนดัง "สาธิต รังคสิริ" กับสรรพากรเขต 22 ร่วมกันทุจริตคืนเงินภาษีกว่า 3 พันล้านและให้ร่วมกันชดใช้เงินกว่า 3 พันล้านบาท คืนกรมสรรพากร ยึดทองคำแท่ง 77 กิโลกรัมเข้าหลวง

 

 

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซ.สีคาม  ถ.นครไชยศรี  ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฉ้อโกงเงินภาษี ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามทุจริต 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร จำเลยที่ 1, นายศุภภิจ หรือสิริพงศ์ ริยะการหรือริยะการธีรโชติ อดีตสรรพากรพื้นที่ กทม. เขต 22 (บางรัก) จำเลยที่ 2, นายประสิทธิ์ อัญญโชติ อายุ 59 ปี จำเลยที่ 3 และนายกิติศักดิ์ อัญญโชติ อายุ 35 ปี จำเลยที่ 4  สองพ่อลูก  ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ

 

 

ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

 

 

ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 147, 151, 157 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 มาตรา123/1(เดิม) พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 

 

 

โดยอัยการโจทก์ฟ้องสรุปความผิดว่า เมื่อระหว่างวันที่ 20 พ.ค.55 ถึงวันที่ 26 ต.ค.56 พวกจำเลยร่วมกันและสนับสนุนการกระทำความผิด

 

 

คือร่วมกันขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จหลอกลวง กรมสรรพากร เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรและเจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22  ผู้เสียหาย เพื่อให้ได้ไปซึ่งเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากรและรัฐโดยทุจริต
    

 

 

โดยนายสาธิต จำเลยที่ 1 และนายศุภกิจ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายทราบดีถึงความเท็จดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น แต่กลับรู้เห็นเป็นใจด้วยการร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและทุจริต

 

 

โดยนายศุภกิจ จำเลยที่ 2 ได้ใช้อำนาจของตนสั่งการให้คำแนะนำเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสถานประกอบการเกี่ยวกับการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีดังกล่าวซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา

 

 

 

ให้พิจารณาเสนอความเห็นยุติการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพกิจการบริษัท รวม 25 บริษัท ของจำเลยที่ 3-4 ที่ขอคืนภาษีและคืนภาษีให้แก่บริษัท นิติบุคคลทั้ง 25 แห่งดังกล่าว ทั้งที่ยังมีข้อสงสัยว่า เป็นผู้ประกอบการจริงหรือไม่

 

 

ซึ่งนายศุภกิจจำเลยที่ 2 ละเว้นไม่สั่งการให้มีการตรวจสอบสถานประกอบการ รวมทั้งไม่สั่งการให้ตรวจสอบการซื้อขายสินค้าวัตถุดิบการเก็บรักษาสินค้า การจ้างแรงงาน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วน

 

 

ทั้งยังเร่งรัดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอสำนวนการตรวจสภาพกิจการอันการเป็นผิดระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการตรวจปฏิบัติการ พ.ศ.2554 ประกอบแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากรในหลายกรณี

 

 

รวมถึงสั่งระงับการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดว่าใบกำกับภาษีและใบส่งสินค้าออกต่างประเทศที่นำมาใช้อ้างแสดงเป็นหลักฐานขอคืนภาษีนั้นเป็นเอกสารถูกต้องแท้จริงหรือไม่อีกด้วย 
    

 

 

นายศุภกิจ จำเลยที่ 2 ยังสั่งปรับปรุงการกำกับดูแลประเภทกิจการเกี่ยวกับการขายส่งโลหะและแร่โลหะจากเดิมมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบหลายทีมให้เหลือเพียงทีมเดียวเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบบริษัท

 

 

และสั่งการให้ทีมตรวจสอบบริษัทออกตรวจกิจการบริษัทบางบริษัทในกลุ่ม 25 บริษัทของจำเลยที่ 3-4 ก่อนล่วงหน้าที่จะมีการยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม และใช้ผลการตรวจล่วงหน้าในการพิจารณาคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นการดำเนินการไม่ปกติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์แนวทางปฏิบัติที่กรมสรรพากรกำหนด

 

 

ส่วนนายสาธิตจำเลยที่ 1อธิบดีกรมสรรพากรขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกรมสรรพากร ทราบดีว่าการดำเนินการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มยังไม่ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนตามแนวทางปฏิบัติและระเบียบกรมสรรพากร

 

 

เมื่อมีการตรวจพบความผิดปกติที่เกี่ยวข้องในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มนี้รายงานมายังนายสาธิต จำเลยที่1กลับสั่งการให้สำนักงานตรวจสอบภาษีกลางไปตรวจสอบใบขนสินค้าขาออกกับกรมศุลกากรว่ามีการส่งออกจริงหรือไม่เท่านั้นซึ่งเป็นการจงใจ เพื่อไม่ให้ครบถ้วนสมบูรณ์

 

 

ทั้งที่ข้อสำคัญจะต้องสั่งการตรวจสอบให้ชัดเจนว่าผู้ขอคืนภาษีประกอบกิจการจริงหรือไม่ ขัดต่อแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากรในการกำกับดูแลผู้เสียภาษีโดยใกล้ชิดเป็นรายผู้ประกอบการและให้เป็นปัจจุบัน

 

 

แต่นายสาธิตจำเลยที่ 1 กลับละเว้นไม่สั่งการตรวจสอบ อีกทั้งผลตรวจสอบใบขนส่งสินค้าขาออกตามที่นายสาธิต จำเลยที่ 1 สั่งการก็ไม่ได้ข้อเท็จจริงยืนยันว่ามีการขนส่งสินค้าออกจริงหรือไม่

 

 

กรณีดังกล่าวจึงไม่สามารถอนุมัติคืนเงินภาษีได้หากไม่มีธนาคารมาค้ำประกัน

 

 

แต่นายสาธิตจำเลยที่ 1 กลับเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้ง ทั้งยังอาศัยอำนาจในการบังคับบัญชาข้าราชการของกรมสรรพากรเข้ามาติดตามเร่งรัดพร้อมทั้งมอบแนวทางการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 เพื่อให้มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่บริษัทนิติบุคคลทั้ง 25 แห่งโดยเร็ว 

 

 

พฤติการณ์ของจำเลยกับพวก จึงเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อให้ข้อเท็จจริงที่บริษัทนิติบุคคลทั้ง 25 แห่งนั้นไม่มีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นการฉ้อฉลนั้นถูกปกปิด

 

 

จนในที่สุดนายศุภกิจจำเลยที่ 2 ด้วยความรู้เห็นเป็นใจของจำเลยที่ 1 ได้พิจารณาอนุมัติคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทนิติบุคคลทั้ง 25 แห่งจำนวนหลายครั้ง

 

 

โดยการกระทำดังกล่าวนายประสิทธิ์ อัญญโชติและนายกิติศักดิ์ อัญญโชติ จำเลยที่ 3-4กับพวกได้มารับเอาเงินจำนวนตามที่ได้มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทนิติบุคคลทั้ง 25 แห่งดังกล่าว ไปแบ่ง
ปันกันโดยทุจริตให้กับนายสาธิต จำเลยที่ 1 และนายศุภกิจ จำเลยที่ 2

 

 

โดยนายสาธิตจำเลยที่ 1ได้นำเงินบางส่วนที่ได้รับแบ่งปันโดยทุจริตไปซื้อทรัพย์สินเป็นทองคำแท่งไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวด้วย

 

 

การกระทำของพวกจำเลยดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจของตนไปโดยมิชอบและทุจริตเบียดบังเงินของรัฐที่อยู่ในอำนาจจัดการดูแลเก็บรักษาของตน ไปเป็นของตนเองและบุคคลอื่นโดยทุจริต

 

 

เป็นเหตุให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลังและรัฐได้รับความเสียหายเป็นเงิน 3,097,016,533.99 บาท โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษตามกฎหมาย และขอให้ริบของกลางทองคำแท่ง น้ำหนัก 77 กิโลกรัม และทองคำแท่งน้ำหนักรวม 7,000 บาททองคำ

 

 

กับให้พวกจำเลยร่วมกันชดใช้เงินที่เบียดบังเอาไปและยังไม่ได้คืน จำนวน3,097,016,533.99 บาทแก่กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ผู้เสียหายด้วย พวกจำเลยให้การปฏิเสธ

 

 

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้ว เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง

 

 

พิพากษาว่านายสาธิตและนายศุภกิจ จำเลยที่ 1-2 มีความผิด
ตามป.อ.มาตรา 147 (เดิม), 151 (เดิม) และ 157 (เดิม) ประกอบ ป.อ.มาตรา 83 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1

 

 

การกระทำจำเลยที่ 1-2 เป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย

 

 

และฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐหรือเจ้าของทรัพย์นั้น เป็นบทหนักซึ่งมีโทษเท่ากัน 
    

 

 

ศาลจึงให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย แต่เพียงบทเดียว ตาม ป.อ.มาตรา 90

 

 

ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2  ไว้ตลอดชีวิต

 

 

ส่วนนายประสิทธิ์ จำเลยที่ 3 มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 157 (เดิม), 265 (เดิม), 268 (เดิม), 341 (เดิม) ประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4 (3)(6 (เดิม) )(7) ประกอบ ป.อ.มาตรา 86

 

 

กระทำของจำเลยที่ 3 เป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ.มาตรา 90

 

 

ลงโทษจำคุกนายประสิทธิ์ จำเลยที่ 3 เป็นเวลา 6 ปี 8 เดือน  และให้จำเลยทั้งสาม ร่วมกันชดใช้เงิน 3,097,016,533.99 บาท แก่กรม
สรรพากรกระทรวงการคลัง

 

 

และนับโทษของจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำ ฟย.23/2560 (หมายเลขแดง ฟย.47/2561) ของศาลอาญา ริบของกลางทองคำแท่งน้ำหนัก 77 กิโลกรัม ทองคำแท่งน้ำหนักรวม 7,000 บาททองคำตามคำขอท้ายฟ้อง

 

 

และทองคำแท่งทุกรายการที่ส่งมอบแก่คณะกรรมการจัดการทรัพย์สิน เมื่อวันที่ 15 พ.ย.62

 

 

คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ส่วนจำเลยที่ 4  พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อพิรุธน่าสงสัยจึงพิพากษายกฟ้อง
  

 

ต่อมาทนายความของนายสาธิตและนายศุภกิจ ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ ขอปล่อยชั่วคราว ศาลอาญาคดีทุจริต ฯ พิจารณาแล้วเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์ พิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป 
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ