ข่าว

ทบ.-สหรัฐฯ แจ้งความจับ"เฟคนิวส์"แล้ว ปล่อยข่าวห้องทดลองลับแพร่"โควิด"

ทบ.-สหรัฐฯ ตั้งโต๊ะแถลง แจ้งความจับ "เกรียน คีย์บอร์ด" แล้ว ปล่อยข่าวปลอม ห้องทดลองลับแพร่เชื้อ "โควิด" ในประเทศไทย พร้อมยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการระบาด

จากกรณี "เกรียน คีย์บอร์ด" ได้มีการเผยแพร่ภาพและข้อความลงใน "โลกโซเชียล" โดยมีการสร้างข่าวปลอม และมีการโพสต์ลงใน "ทวิตเตอร์" พร้อมกับระบุว่า สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร "สวพท." หรือ AFRIMS มีส่วนทำให้ เชื้อ"โควิด" ระบาดในประเทศไทย โดยสหรัฐฯ ได้แอบเข้ามาเปิดห้องทดลองนั้น 
 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ พลโท สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก พร้อมด้วย พลตรี ธำรงค์โรจน์ เต็มอุดม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร และ พันโทแบรนดอน แมคคาร์เธอร์  รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายสหรัฐฯ) ร่วมกันแถลงข้อเท็จจริงกรณีมีการนำข่าวเท็จลงในโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารและสถานการณ์โควิด ที่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (สวพท.)

 

พล.ท.สันติพงศ์ เปิดเผยว่า กองทัพบกได้ตรวจพบว่า มีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จในโซเชียลมีเดีย โดยทวิตเตอร์แอคเคาท์หนึ่ง มีการตั้งข้อสังเกตและเชื่อมโยงว่า สถาบันวิจัยวิทยาศาสต์การแพทย์ทหาร (สวพท.) อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดโควิดในไทย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาหรือสมมติฐานที่ร้ายแรงมาก ทั้งนี้ "กองทัพบก" ขอเรียนให้ทราบว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง และได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อข่าวเท็จดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 16 ส.ค.64 ที่ผ่านมา  


สำหรับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (สวพท.) หรือ AFRIMS  เป็นหน่วยงานในสังกัดกรมแพทย์ทหารบก ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2501 จากความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมของไทยและกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาโดยทำงานวิจัยร่วมกันในการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อในประเทศไทยและภูมิภาคแถบนี้อย่างต่อเนื่องมากว่า 60 ปี นำมาซึ่งประโยชน์สู่กองทัพและประชาชนไทยและในภูมิภาค 
 

 

 

นอกจากนี้ยังเป็นหน่วยเครือข่ายความร่วมมือการวิจัยโรคอุบัติใหม่ โรคอุบัติซ้ำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 และได้มีการศึกษาวิจัยโรคเขตร้อน โรคระบาด โรคติดเชื้อ ซึ่งเป็นประโยชน์ทางด้านการแพทย์ทั้งในส่วนสุขภาพกำลังพล ปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ชายแดน และประเทศไทยในภาพรวม  ล่าสุด สวพท. ได้เข้ามาเป็นหน่วยงานตรวจคัดกรอง "โควิด" ในชุมชนพื้นที่ กทม.และปริมณฑล และประชาชนทั่วไป 

 

ขณะที่ พลตรีธำรงค์โรจน์ เต็มอุดม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร แถลงถึงการบริหารจัดการขององค์กรนี้ว่า  สวพท. เป็นหน่วยงานที่มีพันธกิจ ในเรื่อง

1. ดำเนินการวิเคราะห์ วิจัย ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารเพื่อสร้างเสริมสุขภาพทหาร 

2.ให้บริการตรวจวินิจฉัยและตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์แก่ทหารและประชาชน

3.เป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารทางการแพทย์เพื่อสนับสนุนภารกิจของกองทัพบก ทั้งนี้ในพื้นที่ชายแดน ภารกิจของ สวพท.ยังครอบคลุมเรื่องการเฝ้าระวังโรคของทหารตามแนวชายแดน อาทิ ไข้มาลาเรีย, ไข้รากสาดใหญ่ เป็นต้น และในปัจจุบัน สวพท.เป็นห้องปฏิบัติการในการตรวจคัดกรอง COVID-19 ให้กับประชาชนตามชุมชนต่างๆ  

 

ทางด้าน พันโทแบรนดอน แมคคาร์เธอร์  รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายสหรัฐฯ) แถลงว่า กว่า 60 ปีที่ผ่านมา กองทัพบกสหรัฐฯ และกองทัพบกไทย ได้ร่วมทำงานกันอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร หรือ AFRIMS ในการต่อสู้กับโรคเขตร้อน เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการเผยแพร่เอกสารเท็จ และกล่าวหานักวิทยาศาสตร์ไทยและสหรัฐฯ ที่ทำงานร่วมกันกว่า 400 คน ที่ปฎิบัติงานอย่างมีอาชีพ และอุทิศตนทำงานในสถาบันแห่งนี้ จึงขอเรียนชี้แจงว่า 
 

 

AFRIMS เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่มีประสิทธิผลและมีความสำคัญอย่างยิ่งระหว่างสหรัฐฯ และราชอาณาจักรไทย ในการช่วยรักษาชีวิตมนุษย์นับล้านคนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก 

 

การทำงานร่วมกันแบบทวิภาคีใน AFRIMS ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาด้านการสาธารณสุขและการแพทย์ให้แก่ประเทศไทยและสหรัฐ แต่ยังรวมถึงการก้าวถึงเป้าหมายระดับโลก ความร่วมมือทั้งสองฝ่ายทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขในภูมิภาค และที่สำคัญอย่างยิ่ง มาตรฐานของห้องปฏิบัติการของเรามีความปลอดภัยสูง การวิจัยที่ AFRIMS มุ่งเน้นในการต่อสู้กับโรคเขตร้อนในภูมิภาค อาทิ ไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก ชิกุนคุนย่า ชิการ์ โรคเชื้อไวรัสเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และ HIV

 

ความร่วมมือในงานวิจัยร่วมกันช่วยให้เราได้พัฒนาวัคซีนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงการวินิจฉัยและการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งได้รักษาชีวิตของคนนับล้านทั่วโลก และเราจะยังคงดำเนินภารกิจต่อไป เช่น การสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน mRNA ของจุฬาลงกรณ์ในช่วงการศึกษาขั้นต้น และผลของการศึกษาแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มว่า ปลอดภัยและมีประสิทธิผลต่อการพัฒนาวัคซีน COVID-19 ภายในประเทศต่อไป ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในการที่สหรัฐฯ ให้คำมั่นที่จะยืนหยัดเคียงข้างประเทศไทย จนกว่าโรคระบาดนี้จะถูกกำจัดลง
 

ขณะที่ พล.ท.สันติพงศ์ กล่าวในช่วงท้ายโดยสรุปว่า ปัจจุบันประชาชนมีความอ่อนไหวในข้อมูลข่าวสารในสถานการณ์โควิด เหตุการณ์ดังกล่าวที่มีการโพสต์เป็น "ข้อมูลเท็จ" หรือ "ข่าวปลอม"  ทำให้เกิดความเสียหาย ความสัมพันธ์ของประเทศ จำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมาย ควบคู่กับการชี้แจงข้อเท็จจริงให้กับประชาชนได้รับทราบ 

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวยอดนิยม