ข่าว

เปิดญัตติฝ่ายค้านซักฟอก 6 รมต. ซัด"ประยุทธ์ "เป็นโรค"โอหังคลั่งอำนาจ"

เปิดญัตติฝ่ายค้านซักฟอก 6 รมต. ซัด"ประยุทธ์ "เป็นโรค"โอหังคลั่งอำนาจ"

16 ส.ค. 2564

เปิดญัตติพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นซักฟอก 6 รมต. ซัด" พล.อ. ประยุทธ์ "เป็นโรค"โอหังคลั่งอำนาจ"

 

16 ส.ค. 64 - กรณีพรรคร่วมฝ่ายค้าน  ได้ร่วมกันยื่นญัตติต่อนายชวน หลีกภัย  ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยญัตติดังกล่าวมีเนื้อหา ดังนี้

 

ข้าพเจ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้มีรายนามท้ายญัตตินี้ ขอเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตามรายนามดังต่อไปนี้

 

1.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

 

เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรมและไร้ความสามารถที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้นำประเทศ

 

ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมทั้งในภาวะปกติและในภาวะวิกฤติ

 

โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองต้องประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2563 จนถึงปัจจุบันกว่า 19 เดือนเศษ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รวมศูนย์อำนาจ  รวบอำนาจและมีอำนาจตามกฎหมายแบบเบ็ดเสร็จทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี   รมว.กลาโหม  ผู้กำกับการปฏิบัติงานตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 

 

ประธานกรรมการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ผอ.ศบค. ประธานศูนย์บริหารสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ (ศบศ.) และ ผอ.ศบค.กทม.

 

อีกทั้งยังได้รวบอำนาจตามกฎหมายต่าง ๆ ถึง 40 ฉบับ ที่เป็นอำนาจของรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลมาไว้กับตนเอง ต้องไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ เปิดเผยข้อมูลความจริง และสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน และทุกภาคส่วนในการเตรียมมาตรการป้องกัน ควบคุม และแก้ไขการแพร่ระบาดของโรคอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพสูงสุดและบริการประชาชนโดยทั่วถึง 

 

แต่กลับปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและไม่สุจริต มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และข้อสั่งการของตนในลักษณะ “กลืนน้ำลายตัวเอง” ปล่อยปละละเลยต่อมาตรการป้องกันควบคุม การระบาดของโรคในหลายเรื่องจนมีการแพร่ระบาดของโรคจากกลุ่มก้อนเล็กๆ กระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศอย่างรวดเร็วจนยากที่จะควบคุม

 

จากการกลายพันธุ์ของโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มสายพันธุ์ขึ้นจากเดิม กระทั่งปัจจุบันการแพร่ระบาดดังกล่าวเข้าไปสู่ชุมชนและครัวเรือนส่งผลให้เพียงระยะเวลา 4 เดือนเศษ มีผู้ติดเชื้อเกือบเก้าแสนคน และเสียชีวิตกว่าเจ็ดพันคน

 

ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดที่สถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอที่จะรับรักษาผู้ป่วย “ระบบสาธารณสุขไทยล้มเหลว” เกินขีดความสามารถในการบริการประชาชน ต้องปล่อยให้ผู้ป่วยรักษาตัวเองที่บ้าน บางรายทนไม่ไหวต้องตายกลางถนน ตายในรถ หรือตายคาบ้านตนเอง ตายยกครอบครัว

 

สร้างความหดหู่ใจแก่ผู้พบเห็นและพี่น้องประชาชนอย่างยิ่ง ถึงกับมีคำกล่าวว่า “ประเทศไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” คนไทยตกอยู่ในสภาพสุขภาพกายเสื่อม สุขภาพจิตทรุด 

 

ขณะที่มาตรการในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา รู้ดีว่าการฉีดวัคซีนให้ประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่”

 

ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีหน้าที่และอำนาจในการจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดตามหลักจริยธรรมและหลักวิชาการเพื่อฉีดให้กับประชาชนโดยทั่วถึงและรวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ “ประชาชนทุกคนที่ประสงค์จะฉีดวัคซีนต้องได้ฉีด” รวมถึงวัคซีนทางเลือกอีกหลายประเภทที่ประชาชนต้องการ

 

แต่ที่ปรากฏคือความล่าช้า เลื่อนลอย ไม่แน่นอนว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนทางเลือกหรือไม่ การตรวจหาเชื้อก็ทำได้ในปริมาณน้อย มีมาตรการไม่แน่นอน เครื่องมือในการตรวจหาเชื้อไม่เพียงพอ ไม่ทันกับการแพร่ระบาดของโรคที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากทุกวัน การจัดหาเครื่องมือเป็นไปโดยทุจริต      

 

ส่วนมาตรการควบคุมโรคก็ไร้ทิศทาง ผิดเป้าหมาย และแผนงาน และไร้ประสิทธิภาพ ประชาชนและภาคธุรกิจได้รับผลกระทบและความเสียหายจากมาตรการของรัฐ

 

อาทิ การล็อกดาวน์ การสั่งปิดสถานประกอบการ โดยขาดการศึกษาวิเคราะห์ที่ดีพอ อันนำมาสู่ความเสียหายจนทำให้ภาคธุรกิจ ต้องเลิกกิจการจำนวนมาก การดำรงชีวิตของประชาชนเป็นไปอย่างยากลำบาก เกิดภาวะตกงาน     ต้องกลับไปต่อสู้ดิ้นรนยังภูมิลำเนาบ้านเกิด

 

มาตรการที่กำหนดขึ้นทั้งจากการปิดเมือง ปิดโรงงาน กำหนดข้อห้ามต่างๆ ออกข้อกำหนดครั้งแล้วครั้งเล่า กลับไม่สามารถหยุดยั้งหรือลดการแพร่ระบาดของโรคได้จนส่งผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

ขณะที่การกู้เงินของรัฐบาลจำนวนมากแต่กลับนำมาใช้จ่ายอย่างไร้ทิศทาง ไม่ลำดับความสำคัญของการใช้เงินงบประมาณที่หมดไปกับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้ดีว่า “ประเทศตกอยู่ในสงครามของโรคระบาด ไม่ใช่สงครามของการสู้รบ” ใช้จ่ายงบประมาณและเงินกู้   โดยไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง

 

สร้างภาระหนี้สาธารณะจนชนเพดานหนี้สาธารณะตามกฎหมายและหนี้ครัวเรือนสูงเป็นประวัติการณ์ ธุรกิจ SME ต้องล้มเลิกกิจการจำนวนมาก ร้านค้าหลายประเภทต้องปิดกิจการ คนตกงาน และมาตรการที่ออกมาไม่สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและภาคธุรกิจได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ 

 

ท่ามกลางวิกฤติการณ์ดังกล่าวกลับพบว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารราชการแผ่นดินโดยไม่สุจริต มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทุจริตต่อหน้าที่ในหลายเรื่อง ทั้งการจัดหาวัคซีนที่มีพฤติการณ์ปิดบังอำพราง ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ไม่ทั่วถึง เลือกปฏิบัติและไม่มีประสิทธิภาพสูงสุด

 

อีกทั้งแอบอ้างว่ามีวัคซีนของบริษัทในพระปรมาภิไธยเพื่อมาฉีดให้กับประชาชน เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบัน มีผลทำให้ยุทธศาสตร์การจัดหาวัคซีนผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น

 

อีกทั้งยังปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตและแสวงหาประโยชน์ของบรรดานักการเมือง  พวกพ้อง และข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างกว้างขวางในหลายเรื่อง ทั้งการทุจริตเกี่ยวกับการจัดหาและจองวัคซีนล่วงหน้า การซื้อวัคซีนก็หลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อเปิดประตูให้มีการทุจริต

 

และยังมีการทุจริตในการกระจายวัคซีนโดยเลือกปฏิบัติ รวมถึงการทุจริตในเรื่องอื่น ๆ ไม่สร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมทั้งที่เอกชนและโรงพยาบาลเอกชนประสงค์จะช่วยจัดหาและจัดซื้อวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชน                

 

แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับดำเนินการโดยล่าช้า ขาดความจริงใจ พฤติการณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีลักษณะ “ค้าความตาย” โดยเห็นวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ เหิมเกริม คิดการใหญ่โตในการสร้างกำไรจากวัคซีนร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

 

โดยหวังการกอบโกยผลประโยชน์บนซากศพและคราบน้ำตาของพี่น้องประชาชน เพิกเฉยละเลยทำให้ประชาชนสูญเสียโอกาสที่จะได้รับวัคซีนที่หลากหลายและทั่วถึง ภายใต้โครงการ Covax จนกระทั่งสถาบันวัคซีนแห่งชาติต้องออกมาขอโทษประชาชน 

 

เมื่อประชาชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ก็ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่เอาผิดกับประชาชนและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังลุแก่อำนาจสั่งการให้มีการใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่ออกมาชุมนุมอย่างรุนแรงเกินสมควรกว่าเหตุตลอดมา ตามนิสัยความถนัดของตนเอง จนกล่าวได้ว่าประเทศกำลังขับเคลื่อนไปด้วยความคับแค้นเกลียดชัง

 

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลยังปล่อยปละละเลยให้รัฐมนตรีหลายคนกระทำการทุจริตต่อหน้าที่และจงใจใช้อำนาจหน้าที่  ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยที่พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ละเว้นไม่ติดตามผลข้อสั่งการว่าได้รับการปฏิบัติหรือไม่ 

 

นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังเห็นชอบและปล่อยปละละเลยให้มีการเสนอและใช้จ่ายงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีสถานการณ์   การสู้รบใด ๆ

 

การบริหารราชการแผ่นดินและการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงทำให้ประชาชนทุกข์ยากเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เศรษฐกิจของประเทศดิ่งเหว ทำให้ประเทศไทยถึงจุดที่เรียกว่าตกต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์และกลายเป็นประเทศที่ไม่ปลอดภัยในสายตาชาวโลก การพลิกฟื้นและการลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถกระทำได้

 

การที่ประชาชนต้องติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมากและต้องทนทุกข์ทรมานจากพิษภัยของโรคโควิด-19 เช่นนี้ เป็นผลโดยตรงจากความไร้ภูมิปัญญา ไร้ความสามารถ ความไม่ซื่อสัตย์สุจริต ความไม่รอบคอบระมัดระวัง ไม่สนใจต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนและประโยชน์ของประเทศชาติ การแสวงหาประโยชน์บนความเดือดร้อนของประชาชน

 

โดยที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและพวกพ้อง ไม่ยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนโดยส่วนรวมเป็นที่ตั้ง “ใจดำ” ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ไม่เห็นใจในความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน และจากความโอหังและการเสพติดในอำนาจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จนทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในสภาพของคน เป็นโรค “โอหังคลั่งอำนาจ” (Hubris Syndrome) ไม่อยู่ในภาวะที่จะเป็นผู้นำประเทศได้อีกต่อไป 

 

ดังนั้นหากปล่อยให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารราชการแผ่นดินต่อไปจะทำให้ประชาชนติดเชื้อและเสียชีวิตมากยิ่งขึ้นจนไม่สามารถที่จะหาสถานที่ฌาปนกิจได้ทันและเพียงพอ และไม่มีหนทางที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ประชาชนจะต้องทนทุกข์ทรมาน ทั้งจากโรคและการดำรงชีวิต

 

บ้านเมืองจะไร้ซึ่งความสงบสุขร่มเย็น อันจะนำมาซึ่งความหายนะของประเทศชาติอย่างแท้จริงตามที่มีการกล่าวกันว่า “ผู้นำโง่ เราจะตายกันหมด” เพราะคนโง่ คือ ภัยอันตรายร้ายแรงเมื่อได้กลายเป็นผู้มีอำนาจ 

 

 

2. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

ขาดซึ่งองค์ความรู้ ไร้ซึ่งภูมิปัญญาและความสามารถในการกำกับดูแลงานด้านสาธารณสุขของประเทศ

 

มีพฤติกรรมคุยโม้โอ้อวด ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ฉ้อฉล หลอกลวงประชาชน ส่งผลให้การบริหารงานของกระทรวงสาธารณสุขล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ดังเช่นโรคโควิด-19 ที่เป็นวิกฤตของชาติอยู่ในปัจจุบัน

 

โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ขาดสติปัญญา ประเมินความรุนแรงและผลกระทบของโรคนี้ผิดพลาดอย่างร้ายแรงโดยเห็นว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาเป็นและหายได้เอง ประเมินว่าเป็นโรคกระจอก จึงปล่อยปละละเลยในการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขและมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโดยเฉพาะวัคซีน จนทำให้การแพร่ระบาดของโรคเป็นไปอย่างรวดเร็ว กว้างขวาง และรุนแรง

 

ประชาชนขาดโอกาสที่จะได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานในปริมาณที่เพียงพอ โดยการจัดหาวัคซีนเป็นไปอย่างล่าช้า และได้วัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันโรค มุ่งเน้นแต่จะจัดหาวัคซีนลึกลับแต่ด้อยคุณภาพวัคซีนสายสัมพันธ์ 

ขณะที่การตรวจหาผู้ติดเชื้อรายใหม่ก็เป็นไปอย่างล่าช้าไม่ทันต่อการระบาดของโรค และยังมีพฤติการณ์ในการแสวงหาประโยชน์ในการจัดหาวัคซีน การกระจายวัคซีนและการจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจโรค พูดเท็จโอ้อวดต่อประชาชนว่าเราจะมีวัคซีนเต็มสองแขนเหลือเฟือ การจัดหาวัคซีนโดยรวม มีความผิดพลาดบกพร่องในทางยุทธศาสตร์อย่างร้ายแรง 

 

จากพฤติการณ์ในการบริหารจัดการของนายอนุทิน ชาญวีรกุล ทำให้เพียงระยะเวลา 4 เดือนเศษ มีผู้ติดเชื้อเกือบเก้าแสนคนและเสียชีวิตกว่าเจ็ดพันคน และมีแนวโน้มที่จะมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น จนขณะนี้ไม่มีสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เพียงพอในการรักษาผู้ป่วย ต้องปล่อยให้ผู้ป่วยรักษาตัวเองที่บ้านและทยอยเสียชีวิตลงไป จนสถานพยาบาลบางแห่งต้องออกหลักเกณฑ์ว่าจะเลือกให้ผู้ป่วยคนใดอยู่หรือตาย

 

ผู้ป่วยบางรายทนไม่ไหวนอนเสียชีวิตอยู่กลางถนน ในบ้านตนเอง สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เห็นว่าระบบสาธารณสุขของประเทศล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เป็นโศกนาฏกรรมของสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเลยหากได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่มีความรู้ความสามารถ มองปัญหารู้และแก้ปัญหาเป็น

 

แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกำกับดูแลทั้งกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรมและสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กลับไร้ความรู้ความสามารถที่จะทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยุติลงได้  

 

อีกทั้งยังมุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์จากการจัดหาวัคซีนและการกระจายวัคซีนโดยมิได้คำนึงถึงประสิทธิภาพของวัคซีนและโอกาสของประชาชนในการได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งเป็นการกอบโกยผลประโยชน์บนคราบน้ำตาและความเป็นความตายของประชาชน

 

ดังนั้น หากปล่อยให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขต่อไปจะทำให้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงเมื่อใด ชีวิตของพี่น้องประชาชนแขวนอยู่บนเส้นด้าย ขณะที่ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจะมีเพิ่มมากขึ้น  จนอาจกล่าวได้ว่าไม่มีสถานที่เพียงพอที่จะทำพิธีฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตได้

 

3.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญาและไร้ความรู้ความสามารถที่จะบริหารราชการของกระทรวงแรงงาน ทำให้ผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบทั้งระบบ  จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย กระทำการอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ส่อว่าจงใจและมีผลประโยชน์ทับซ้อน

 

ปล่อยปละละเลยให้แรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายปะปนอยู่ในระบบแรงงานและเกิดการแสวงหาประโยชน์จากแรงงานผิดกฎหมายดังกล่าว จนเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดของโรค โควิด- 19 กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบของผู้ใช้แรงงานและโรงงานจากมาตรการของรัฐในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค

 

จนผู้ใช้แรงงานต้องตกงานจำนวนมากและใช้ชีวิตตามยถากรรม นักศึกษาจบใหม่ก็ไม่มีงานทำ ซึ่งเป็นอัตราการว่างงานที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ภาคการผลิตได้รับผลกระทบอย่างหนักจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างรุนแรงและยังบกพร่องผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดคลัสเตอร์การติดเชื้อใหม่ในโรงงานรายวันโดยไม่มีมาตรการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ความล้มเหลวจากการบริหารงานของนายสุชาติ ชมกลิ่น ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างมาก หากให้ดำรงตำแหน่งต่อไปยิ่งจะสร้างความเสียหายอีกเป็นทวีคูณ

 

 4.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง มุ่งแต่แสวงหาและกอบโกยผลประโยชน์จากโครงการขนาดใหญ่ของหน่วยงานที่อยู่ในกำกับดูแล

 

รู้เห็นและปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในการประมูลโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เข้าบุกรุกครอบครองที่ดินของรัฐเพื่อนำมาเป็นของตนและเครือญาติโดยการฉ้อฉล ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐอย่างร้ายแรง ประพฤติตัวเสเพลไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมโรค เข้าไปในแหล่งอบายมุขจนเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปทั่วประเทศจนถึงปัจจุบัน

 

ขาดจิตสำนึกรับผิดชอบ มุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตน พฤติการณ์ของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ดังกล่าวนำมาซึ่งความเสียหายแก่ทางราชการและภาพลักษณ์ของการเป็นรัฐมนตรีของประเทศไทย หากปล่อยให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป  จะยิ่งสร้างความเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดินและผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยรวมจนยากที่จะแก้ไขเยียวยาได้

 

5.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญาและไร้ความสามารถในการบริหารงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำให้การบริหารงานด้านการเกษตรล้มเหลวทั้งระบบ

 

มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เข้าไปมีส่วนได้เสียในการเรียกรับผลประโยชน์จากโครงการของหน่วยงานที่ตนกำกับดูแล สร้างความเสียหายแก่รัฐจำนวนมาก ไม่ปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

 

ไม่ปกป้องรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จงใจเบียดบังเอาทรัพยากรของชาติไปให้พวกพ้องตนเอง ปล่อยปละละเลยให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์ ทั้งวัวและสุกร จนส่งผลเสียหายแก่เกษตรกรจำนวนมาก

 

ขณะที่มาตรการชดเชยเยียวยาแก่เกษตรกรไม่ทั่วถึงและเพียงพอ หากปล่อยให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน บริหารราชการแผ่นดินต่อไปจะเกิดความเสียหายแก่รัฐและเกษตรกรไม่หยุดยั้ง

 

6. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีพฤติการณ์จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน   ทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ใช้ตำแหน่งหน้าที่และสื่อของรัฐเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงและสร้างความแตกแยกในสังคม ทำลายบรรทัดฐานอันดีของสังคม

 

มุ่งประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี หากปล่อยให้ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป ยิ่งจะทำให้สังคมเกิดความแตกแยกมากขึ้น

 

จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดบรรจุญัตตินี้ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาโดยด่วน ส่วนเหตุผลและรายละเอียดต่างๆ จะได้แถลงและชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป