กรมควบคุมโรค ยัน พร้อมฉีดวัคซีน"ไฟเซอร์"ตามแผนเดิม เน้นบุคลากรด่านหน้า-กลุ่มเสี่ยง

นายแพทย์ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์คุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เปิดเผยในระหว่าง การแถลงมาตรการควบคุมสถานการณ์โรคโควิด-19 ประจำวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 กรณีที่มีเอกสารหลุด ถึงการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ว่าจะเป็น "แอสตราเซเนกา" ว่า  นโยบายการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว และมีระยะเวลาเกิน 3 เดือน  จึงมีนโยบายต้อง
ฉีดเข็มกระตุ้น เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้สูงกว่า  แต่การฉีดเข็มกระตุ้นต้องไม่ใช่แพลตฟอร์มเดิม แต่เนื่องจากตัวเลขการติดเชื้อในบุคลากรทางการแพทย์มีแนวโน้มสูง จึงอยากเพิ่มประสิทธิผลด้วยการเพิ่มบูสเตอร์ แต่ในเมื่อวัคซีนที่มีอยู่ คือ แอสตราเซเนกา ก็จำเป็นต้องฉีดทันที หากวัคซีนไฟเซอร์ เข้ามา ก็สามารถฉีดควบคู่ได้ ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้ใคร 

ส่วนแผนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ หากเข้าประเทศเดือนสิงหาคม นายแพทย์ทวีทรัพย์ กล่าวว่า วัคซีนที่เข้ามาเป็นวัคซีนบริจาคเพียงแค่ 1.5 ล้านโดสเท่านั้น ในส่วนของคณะกรรมการวิชาการ จึงได้นำข้อเสนอเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย ไฟเซอร์จะเข้ามาสนับสนุนตรงส่วนไหน แต่กลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มบุคลาการทางการแพทย์ และสาธารณสุข  จึงจำเป็นต้องใช้ควบคู่กับวัคซีนที่มีอยู่ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ซิโนแวค +แอสตราเซเนกา หรือ  แอสตราเซเนกา+ แอสตราเซเนกา 

นายแพทย์ทวีทรัพย์ ย้ำว่า กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข ยังคงเป็นเป้าหมายแรก ที่จะได้รับการจัดสรร หากวัคซีนไฟเซอร์ เข้ามาแล้ว กลุ่มที่ 2 คือ ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 โรค  พร้อมกับะระดมฉีดในพื้นที่ที่มีการระบาดสูงสุดก่อน  จึงไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่เข้ามา จะจัดสรรให้ใครก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งแผนนี้ต้องรอการอนุมัติจาก ศบค.

นอกจากนี้ กลุ่มสตรีมีครรภ์ ที่มีอยู่ 6 แสนคนต่อปี ยังถูกตั้งเป็นกลุ่มที่ 8 ที่จะต้องได้รับการจัดสรรวัคซีน ซึ่งมีเป้าหมายจะเร่งฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด