
กราบขอบคุณนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ผมเคยเชิญพระราชดำรัสของในหลวง ที่พระราชทานเรื่องการเกษตรความว่า
“…การเกษตรนั้น ถือได้ว่าเป็นทั้งรากฐานและชีวิตสำหรับประเทศของเรา เพราะคนไทยเราส่วนใหญ่เป็นผู้มีอาชีพทางเกษตรกรรม ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นเสมอมาว่า วิธีการพัฒนาที่เหมาะสมแก่ประเทศเราอย่างยิ่งก็คือ จะต้องทำนุบำรุงเกษตรกรรมทุกสาขาให้พัฒนาก้าวหน้า เพื่อยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรทุกระดับให้สูงขึ้น” มาแสดงที่นี่ และเรียกร้องว่า “นายกฯ อภิสิทธิ์ ครับ กลับมาสร้างไทยให้เป็น “อู่ข้าวอู่น้ำ” โลกดีกว่าไหม หากจะส่งเสริมงานด้านอุตสาหกรรม ก็ควรจะเป็นอุตสาหกรรมที่แปรรูปสินค้าทางการเกษตรก็น่าจะพอนะครับ” วันนี้มีคำตอบมาจากนายกฯ อภิสิทธิ์ แล้วครับ
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปพูดเรื่อง “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่ารัฐบาลจะผลักดันสินค้าเกษตรเพื่อรับตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งนายกฯ เชื่อว่าจะส่งผลดีมากกว่าลงทุนรถไฟฟ้าและสนามบิน โดยจะให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร จัดทำแผนผลิตสินค้าเกษตร ว่าพื้นที่ตรงไหนควรผลิตอะไร รวมทั้งเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ไม่ใช่เพียงแต่ขยายพื้นที่การผลิตเท่านั้น และ รัฐบาลจะพัฒนาระบบชลประทาน 24 ล้านไร่ที่มีอยู่ให้เต็มที่ รวมไปถึงการออกโฉนดชุมชน เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทำกินให้เกษตรกร จะพัฒนาทักษะของเกษตรกรให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยี และรายละเอียดอื่นๆ ที่ฟังแล้วชื่นใจจริงๆ
ในฐานะที่ผมเคยเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาสนใจเรื่องนี้ ก็ขอกราบขอบคุณ นายกฯ อภิสิทธิ์ มา ณ ที่นี้ครับ แล้วอย่าหาว่าได้คืบจะเอาศอกเลยนะครับท่านนายกฯ ผมขอฝากอีกเรื่องหนึ่งได้ไหม ผมเขียนเรียกร้องมานานแล้ว ว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งพร้อมๆ กันนั้น รัฐบาลต้องขุดลอกแม่น้ำลำคลองทั่วประเทศที่ตื้นเขินด้วยวัชพืชและดินถล่มลงไป ด้วยการประกาศเป็น “วาระแห่งชาติ” คือ ระดมงบประมาณเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ ที่กระจัดกระจายอยู่ในกรม หรือกระทรวงต่างๆ มาไว้ด้วยกันแล้ว “วางแผน” พัฒนาแหล่งน้ำให้สอดคล้องกันรวดเดียว ไม่ใช่ปล่อยให้แต่ละแห่ง “นึกอยาก” จะทำอะไรก็ทำกันไป อย่างที่ผ่านมาครับ
การแบ่ง “งบประมาณ” เป็น “เบี้ยหัวแตก” ให้กรมนั้น 10 ล้าน กรมนั้น 100 ล้าน หรือกระทรวงโน้น 1,000 ล้าน เพื่อนำไปขุดลอกหนองบึง หรือผันน้ำจากโขง ชี มูล หรือทำท่อส่งน้ำไปยังไร่นาต่างๆ นั้น หากทำกันคนละทีก็เหมือนพายเรือกันคนละครั้ง แทนที่เรือจะพุ่งไปข้างหน้า เผลอๆ จะหมุนคว้างอยู่กลางแม่น้ำ นอกจากนี้การทำงานที่มี “เป้าหมาย” เดียวกันแบบนั้น โอกาสที่ “เงิน” จะรั่วไหลมีค่อนข้างสูงนะครับ
วันที่ 3 กุมภาพันธ์นั้น นายกฯ อภิสิทธิ์พูดเองนะครับว่า “ปัจจัยที่บั่นทอนภาครัฐมากที่สุดอยู่ที่การทุจริตคอรัปชั่น ที่มีความซับซ้อนขึ้น ตั้งแต่การออกแบบนโยบายและการกำหนดราคากลาง” เพราะงั้น ผมจึงเสนอให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ไงครับ...ก็หวังว่าชาวบ้านร้านตลาดจะได้ยินข่าวดีเร็วเรื่องขุดลอกแม่น้ำจากท่านเร็วๆ นี้นะครับ
ภาณุมาศ ทักษณา