
ขนพันธุ์มะละกอ "ปากช่อง" ขึ้นดอย ให้เป็นทางเลือกเกษตรกรบนที่สูง
ไทยนับเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการบริโภคมะละกอมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นมะละกอดิบที่นำไปทำส้มตำ โดยเฉพาะในภาคอีสาน จึงทำให้ประเทศไทยมีการปลูกมะละกอจำนวนมากในภาคอีสาน และภาคกลาง อาทิ จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และ จ.สมุทรสาคร
ยอมรับว่ามะละกอที่ปลูกในประเทศมีผลผลิตค่อนข้างต่ำเฉลี่ยตกไร่ละ 3 ตันต่อปี ขณะที่บราซิลให้ผลผลิตไร่ละ 7 ตันต่อปี เม็กซิโกไร่ละ 6 ตันต่อปี ที่เลวร้ายไปกว่านั้นนับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา มะละกอที่ปลูกในประเทศไทยประสบปัญหาโรคใบด่างจุดวงแหวนมะละกอ สร้างความเสียหายอย่างหนัก เว้นแต่มะละกอพันธุ์ปากช่อง และพันธุ์แขกดำท่าพระที่ดูเหมือนว่ามีความทนทานต่อโรคนี้
ด้วยเหตุนี้ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงทุ่งเริง ต.บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่ จึงเลือกมะละกอพันธุ์ปากช่อง 1 ไปส่งเสริมให้เกษตรกรบนที่สูงโดยเฉพาะชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ใน จ.เชียงใหม่ ปลูกตามดอยต่างๆ ปัจจุบัน พิเชษฐ์ ภาโสภะ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมไม้ผล ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงทุ่งเริง บอกว่า ได้เพาะกล้าพันธุ์พร้อมแจกให้แก่เกษตรกรนับหมื่นต้น และจะขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการของเกษตรกร บางส่วนสามารถปลูกได้ในเดือนมีนาคมนี้
นอกจากนี้ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงทุ่งเริง หน่วยย่อยห้วยผักไผ่ มีการพัฒนาสายพันธุ์มะละกอใหม่อีกด้วย แต่ยังไม่ตั้งชื่อ เป็นมะละกอลูกผสมระหว่างแขกดำที่ใช้บริโภคผลสุกกับมะละกอพันธุ์แขกนวลที่ใช้บริโภคดิบทำส้มตำ เมื่อผลผลิตออกมา บุญสืบ นวจินดา ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาโครงการหลวงทุ่งเริงเคยบอกว่ามีคุณสมบัติพิเศษคือออกผลดก มีผลขนาดโต หนักผลละ 1-3 กก. มะละกอดิบเนื้อกรอบ เหมาะทำส้มตำเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันหากปล่อยให้สุกบริโภคได้เช่นกัน เนื้อกรอบและหวานเย็น ไม่มีเมล็ด
พิเชษฐ์ บอกว่า ที่เลือกมะละกอพันธุ์ปากช่อง 1 ไปส่งเสริมเกษตรกรบนที่สูง เพราะทราบว่าตอนนี้มะละกอกำลังขาดตลาด ขนาดในภาคอีสานถือเป็นแหล่งปลูกมะละกอ แต่คนอีสานต้องนำมะละกอจากถิ่นอื่นเพื่อไปบริโภค เพราะมะละกอที่ปลูกในภาคอีสานประสบปัญหาโรคใบจุดวงแหวนมะละกอ แต่ทางภาคเหนือโดยเฉพาะตามดอยต่างๆ ใน จ.เชียงใหม่ ยังไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับปัญหาโรคนี้ เนื่องจากส่วนหนึ่งเพาะปลูกน้อย จึงถือโอกาสนี้ให้เกษตรกรบนที่สูงหันมาปลูกมะละกอทั้งที่ทำเป็นไร่หรือปลูกแซมในไร่พืชอื่น เพื่อนำผลผลิตส่งให้โครงการหลวง
"ที่เราเลือกมะละกอพันธุ์ปากช่อง 1 เพราะได้ศึกษาแล้ว พบว่าเป็นพันธุ์ที่ทนทานต่อโรคใบด่างจุดวงแหวนมะละกอ ปลูกบนที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 800 เมตรได้ มีคุณสมบัติคือให้ผลผลิตเร็ว ปลูก 8 เดือน เริ่มเก็บผลได้ มีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ 350-600 กรัม เนื้อสีแดงส้ม เนื้อหนา 1.5-1.8 ซม. ผลสุกเนื้อไม่เละ มีรสหวาน กลิ่นหอม ปลูกได้ 18 เดือน จะให้ผลผลิตต้นละ 35-45 กก. หากปลูกในพื้นที่ขนาด 4x4 เมตร จะได้ไร่ละ 100 ต้น ได้ผลผลิต 3.5-4.5 ตัน หากปลู 2x2 เมตร จะได้ไร่ละ 400 ต้น จะได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ผลผลิตทั้งหมดจะส่งไปให้โครงการหลวง ปัจจุบันราคากิโลกรัมละ 12 บาทถือว่ารายได้ดีพอสมควร" พิเชษฐ์ กล่าว
เขา บอกอีกว่า มะละกอพันธุ์ปากช่อง 1 นิยมบริโภคสุกมากกว่า ในส่วนของการบริโภคดิบและสุกก็ได้ จะมีมะละกอที่ศูนย์พัฒนาเอง ตอนนี้อยู่ในขั้นทดลอง แต่ได้ผลเบื้องต้นคือ ผลดก มีขนาดโตหนักผลละ 1-3 กก. ผลดิบเหมาะทำส้มตำ ขณะที่สุกรับประทานได้ เนื้อกรอบ หอม และหวาน คาดว่าอีกไม่นานคงจะส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกได้เช่นกัน
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของเกษตรกรบนที่สูงที่จะนำมะละกอพันธุ์ปากช่อง 1 ปลูกทดแทนพืชอย่างอื่นที่มีรายได้น้อยกว่า