"ติดเชื้อโควิด-19" หมอโอ๋ เจ้าของเพจดัง"เลี้ยงลูกนอกบ้าน" โพสต์ติดโควิดทั้งครอบครัว
"หมอโอ๋" เจ้าของเพจดัง"เลี่ยงลูกนอกบ้าน" โพสต์ข้อความ ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งครอบครัว ร้องขอวัคซีน
เพจเฟซบุค เลี้ยงลูกนอกบ้าน ของ"หมอโอ๋" หรือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้โพสต์ข้อความ หลังจากที่ทราบผลว่าติดเชื้อโควิด-19 ทั้งครอบครัว โดยระบุว่า
ตั้งแต่เขียนเพจมา โพสต์นี้เป็นโพสต์ที่มีความยากลำบากที่สุดในการตัดสินใจเขียน
อยากเรียนให้ทราบว่า
"หมอและครอบครัวติดเชื้อโควิดแล้วนะคะ"
หมอมีประวัติสัมผัสบุคลากรที่มาทราบทีหลังว่า มีการติดเชื้อ หมอใส่หน้ากากป้องกันตลอดเวลาขณะทำงาน และไม่ได้กินข้าวร่วมกับใครในระยะเวลาที่มีความเสี่ยง ทาง IC โรงพยาบาลประเมินว่า เป็นกลุ่มเสี่ยงต่ำ แต่ให้ไปตรวจ เพราะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ตรวจครั้งแรก ผลเป็นลบ ทางหน่วยสอบสวนโรคติดเชื้อของโรงพยาบาล ประเมินว่า มีความเสี่ยงต่ำ เพราะ"ฉีดวัคซีนครบ" ใส่แมสก์ตลอดเวลา ให้ทำงานได้ตามปกติ ช่วงค่ำๆ ก่อนวันตรวจซ้ำ หมอมีไข้ต่ำๆ คัดจมูก กินอาหารเหมือนไม่ค่อยรู้รส เลยชวนสามีไปตรวจด้วยกันเลย ผลเป็นบวกทั้ง 2 คน
จากการสอบสวนโรค คาดว่า เราน่าจะได้รับเชื้อมาจากโรงพยาบาล เพราะไม่มีความเสี่ยงอื่นๆ หมอส่งไทม์ไลน์ให้ทาง IC ของโรงพยาบาล และได้แจ้งกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว เราสองคนทำงานเป็นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์ เราไม่ได้เป็นบุคลากรด่านหน้า แต่ก็ยังต้องทำงานพบปะกับคนไข้มากมาย ขณะนี้ มีบุคลากรในโรงเรียนแพทย์ ทยอยติดเชื้อกันเป็นจำนวนมาก มีหอผู้ป่วยต้องปิดไปหลายวอร์ด
เราสองคนมีความระมัดระวังสูงมากพอสมควร ไม่ได้ถอดแมสก์ขณะทำงาน และไม่ได้ทานข้าวกับใครในระยะที่มีความเสี่ยง (การ์ดสูงกว่านี้ก็ต้องเชียร์ลีดเดอร์แล้วค่ะ)
หมอโอ๋ ได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติมว่า เราทั้งคู่ฉีด Sinovac ครบสองเข็ม เข็มสุดท้าย เมื่อประมาณสองเดือนก่อนพอดี
เมื่อรู้ว่าติดโควิด…
สิ่งที่ยากลำบากไม่ใช่เพียงแค่การต้องเผชิญกับความกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น แล้วแค่ปลอบใจตัวเองได้ว่า เราไม่น่าตาย เพราะฉีดวัคซีนที่น่าจะช่วยกันตายได้ แต่มันหมายถึงความเสี่ยงของทุกคนที่อยู่รอบข้างเรา …ถ้าลูกตรวจมาว่ายังไม่ติด หมอจะเอาลูกไปอยู่ที่ไหน? เพราะทุกบ้านที่ส่งไปเราก็ไม่อยากให้เค้าต้องรับกับความเสี่ยง?
แล้วลูกจะติดจากเราไหม? ถ้าลูกเป็นอะไรเราไปดูลูกไม่ได้ เราต้องใจจะขาดแน่ๆ
คุณพ่อที่มีโรคเรื้อรังมากมายจะติดไหม? ถ้าคุณพ่อติดไป หมอก็คงต้องเตรียมทำใจบ๊ายบายคุณพ่อได้เลย
แม่บ้านที่อยู่กับเรายังไม่ได้วัคซีนเพราะยังไม่ถึงคิว เขาจะแย่มากไหม?
คนไข้ที่เราเจอเค้ามากมายขณะที่เราไม่รู้ตัว จะติดไปรึเปล่า?
คนรอบตัวที่เรายังเจอเขาอยู่บ้าง จะโกรธเรามั้ยที่ทำให้เขาต้องเดือดร้อน
งานที่กำลังต้องทำมากมาย ใครจะเป็นคนทำ ฯลฯ
นี่ขนาดหมอ คือ คนที่ถือว่ามี privilege ในสังคม มีบ้านที่มีห้องแยกหลายห้องถ้าจะต้องรอเตียง มีความเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำให้เราน่าจะเข้าถึงบริการได้ไม่ยาก ยังรู้สึกว่าอะไรๆ มันยากไปหมด ต้องใช้พลังใจสูงมากๆ
แล้วชาวบ้านทั่วไปล่ะ…
การติดเชื้อของคนๆ หนึ่ง ส่งผลกระทบต่อคนหลายคน โดยเฉพาะคนที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ คนไข้จำนวนมากของหมอถูกยกเลิก สามีต้องยกเลิกเคสที่นัดผ่าตัด คนใกล้ชิดต้องกักตัว
ที่สำคัญ….
ขณะนี้หมอกำลังมองลูกสาววัย 8 ขวบที่ไข้ขึ้นสูง ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไปด้วย กับแม่บ้านที่ยังไม่ได้วัคซีน แต่เริ่มมีอาการเหมือนเหนื่อยๆ พร้อมได้ยินคำพูดแว่วๆ ว่า "อย่าเห็นแก่ตัว" ด้วยหัวใจที่รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
สุดท้ายนี้…
หมออยากกราบขอบพระคุณ คุณหมอรุ่นใหม่ๆ หลายท่าน ที่ออกมายืนยันด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เริ่มต้น ว่าเราควรมีวัคซีน mRNA ให้กับประเทศไทย โดยต้องทนแรงกดดัน ทนการถูกต่อว่าจากผู้มีอำนาจ ทนการถูกกล่าวหาว่าชังชาติ แต่ยังยึดมั่นในหลักวิชาการที่ถูกต้อง และมีความกล้าหาญทางจริยธรรม
อยากเชิญชวนให้ไปฉีดวัคซีนเท่าที่มี เพราะอย่างน้อยมันก็อาจทำให้เรามีโอกาสที่จะรอด
อยากขอบคุณคนไทยทุกคนที่ส่งเสียงเรียกร้องวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีพอ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ มันไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว แต่นี้คือเรื่องของส่วนรวม "เพราะเมื่อเราล้ม คุณจะล้ม"
ขอบคุณ ที่มองเห็นว่า ทุกวันนี้เราไม่ควรต้องประสบชะตากรรมที่เจออยู่นี้ และควรจะมีคุณภาพชีวิตของทุกคนที่ดีกว่านี้ และต้องช่วยกันวางแผนที่จะป้องกันไม่ให้อะไรๆ เลวร้ายไปกว่านี้
ส่วนตัวหมอเชื่อว่า "พลังบวก" ไม่ได้แปลว่าเราควรเลือกเขียนถึงแต่สิ่งดีๆ โดยละเลยทำเป็นมองไม่เห็นปัญหาที่มีอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด
แต่พลังบวกเกิดขึ้นจากการ พูด "ความจริง" ที่เกิดขึ้น วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นแบบตรงไปตรงมา มี "empathy" กับคนที่เขามีความเดือดร้อน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่อยู่ในสถานะที่มี Privelege อย่างพวกหมอ
ที่สำคัญ คือ "ช่วยส่งเสียง" สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับคนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียง
ยังเชื่อมั่นใน "พลังบวก" ของสังคมเสมอนะคะ
ผู้ที่วันนี้พบว่าเราไม่ควรต้องเดินทางมาถึงจุดนี้เลยจริงๆ
ป.ล. ต้องขออภัยที่ไม่ได้แจ้งข่าวตั้งแต่วันแรกนะคะ พอดีมีอะไรต้องทำหลายอย่าง และอยากเตรียมตัวลูกสาววัย 8 ขวบให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก่อน
ที่มา : เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน