"สภาเภสัชกรรม"-"ชมรมแพทย์ชนบท" จี้รัฐ จัดฉีด"วัคซีน"กลุ่มสูงอายุ และ 7 กลุ่มเสี่ยง ให้ครบจบในเดือน ก.ค. ลดอัตราการตาย-จำกัดส่งออก"แอสตร้า"
เพจเฟซบุค"สภาเภสัชกรรม" ลงนามโดย รศ.ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม โพสต์แถลงการณ์ เรื่องวัคซีนโควิด โดยเรียกร้องรัฐบาลแก้ปัญหาการระบาด และการตายจากโควิด ด้วยนโยบายที่ชัดเจน โดยเรียกร้องให้รัฐบาล จัดการแกปัญหาด้วยนโยบายที่ชัดเจนใน 2 ประเด็น
- ยุทธศาสตร์การลดอัตราตาย เพื่อให้ระบบบริการสาธารณสุขรับมือได้ อัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 วันละประมาณ 50-60 คน หรือเดือนละประมาณ 1,500-1,800 คนที่เป็นอยู่ปัจจุบัน โดยเฉพาะในเขตที่มีการระบาดรุนแรง เช่น กรุงเทพฯ และปริมณฑล และภาคใต้ มีจำนวนผู้ป่วยรอรับบริการจำนวนมาก หากมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้ ใน 2-3 เดือนข้างหน้า จะเกินขีดความสามารถของระบบบริการที่จะรองรับได้ และมีผลกระทบต่อระบบบริการและบุคลากรสุขภาพอย่างรุนแรง
โดยที่ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิต และป่วยหนักจากโควิด เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มี 7 กลุ่มโรคเสี่ยงสูง ในกลุ่มนี้เมื่อติดเชื้อแล้วมีความเจ็บป่วยรุนแรง ต้องการระบบบริการที่ใช้บุคลากรและทรัพยากรจำนวนมากรองรับ และในกลุ่มนี้มีอัตราตายถึงร้อยละ10 ในขณะที่กลุ่มอื่นที่เหลือมีอัตราตายร้อยละ 1 การป้องกันความเจ็บป่วยที่รุนแรงหากติดเชื้อของกลุ่มนี้ โดยเร่งรัดให้ได้รับวัคซีน จึงมีลำดับความสำคัญเร่งด่วน
สภาเภสัชกรรมจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล รีบประกาศนโยบายการกระจายวัคซีนที่มีอยู่ไปยังกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มี 7 กลุ่มโรคเสี่ยงสูง และต้องเป็นมาตรการเดียวเท่านั้น จนทุกคนในกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนหมด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 เดือน (ขณะนี้กลุ่มนี้ได้รับวัคซีนเพียง 2 ล้านคนต่อประชากรที่มีอยู่ 17.5 ล้านคน) เนื่องจากประเทศไทยมีวัคซีนและระบบบริการสาธารณสุขที่จำกัด จึงขอให้หยุดใช้หลายยุทธศาสตร์ในเวลาเดียวกัน ทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มโรงงาน กลุ่มพื้นที่เพื่อเปิดการท่องเที่ยง โดยหวังให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจและการคุ้มกันหมู่ ซึ่งต้องใช้เวลานานจนทำให้อัตราตายยังสูง จนระบบบริการสาธารณสุขล่มสลาย
2.ยุทธศาสตร์การจัดหาวัคซีน ต้องใช้ทุกมาตรการที่มีอยู่ในการจัดหาโดยเร่งด่วน หนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่ประเทศไทยทำได้ถูกต้อง ตามพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ แต่ต้องการความกล้าหาญทางนโยบายในการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ เช่นเดียวกับที่ นพ.มงคล ณ สงขลา กล้าหาญที่จะประกาศ CL ยาช่วยชีวิตผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยการบังคับใช้มาตรา 4 ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และตามมาตรา 18 คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติมีอำนาจประกาศกำหนดเรื่องหนึ่งเรื่องใด ซึ่งมาตรา 18(2) ระบุ "สัดส่วนการส่งออกวัคซีนไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องเหมาะสมกับสัดส่วนการใช้วัคซีนภายในประเทศ"
สภาเภสัชกรรมจึงขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ออกระเบียบการส่งออกของโรงงานผลิตวัคซีน โดยให้แอสตร้าเซนเนก้า สยามไบโอไซส์ ลดสัดส่วนการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ให้เหมาะสมกับสัดส่วนการใช้วัคซีนภายในประเทศ ในการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติในวันที่ 14 กรกฎาคมนี้
โดยก่อนหน้านี้ ชมรมแพทย์ชนบท ได้ออกแถลงการณ์เสนอให้เดือนกรกฎาคม คือเดือนที่มีคว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : https://www.komchadluek.net/news/regional/473146
ข่าวที่เกี่ยวข้อง