ข่าว

"กาแฟส้ม" ดื่มขมอมเปรี้ยว เมนูแคลอรี่ต่ำ ปลุกพลังยามเช้า

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

จากเมนูที่เคยหาได้เฉพาะในร้านคาเฟ่อินดี้ ...สู่เครื่องดื่มฮิตในยุคคนรักสุขภาพ "กาแฟส้ม" เปรี้ยมอมหวานด้วยน้ำผลไม้ ตัดรสขมสนิทของกาแฟดำได้อย่างลงตัว ดื่มง่ายไม่ต้องรู้สึกผิดเพราะแคลอรี่ต่ำ

กระแส "ค๊อฟเทล" (Cofftail) หรือ กาแฟที่ผสมผสานกับน้ำผลไม้ กำลังขยายความนิยมในกลุ่มนักดื่มนิยมความขมที่ชื่นชอบรสชาติแปลกใหม่

ด้วยรสชาติของน้ำผลไม้ที่เหมือนนางเอกไม่แย่งซีนแต่บทบาทก็ไม่เป็นรองพระเอกอย่างกาแฟดำเลยสักนิด ส่งเสริมกันได้ลงตัวเหมือนหยินหยาง

โดยหนึ่งในน้ำผลไม้ที่นิยมนำมาทำเป็นค๊อฟเทล คือ "น้ำส้ม" สูตรผสมช็อตกาแฟดำ เรียกกันติดปากว่า "กาแฟส้ม" หรือ "กาแฟน้ำส้ม" บางคนบอกว่า เข้าลัทธิกาแฟส้มแล้วออกยาก เพราะรสชาติตรึงใจแบบดื่มแล้วอยากดื่มซ้ำ ทำให้หลายคนเลิกกาแฟสูตรเดิมที่เติมนมผสมน้ำตาล หันมาดื่มกาแฟที่ได้ทั้งความกระปรี้กระเปร่าและวิตามินซีสูงอย่าง "กาแฟส้ม" นี้ก็ไม่น้อย

ปัจจุบันไม่เฉพาะร้านกาแฟอินดี้ที่หา "กาแฟส้ม" ดื่มได้ แต่แบรนด์กาแฟก็หันมาคิดสูตรเมนูซิกเนเจอร์ที่ใช้น้ำส้มผสมกาแฟดำ เพื่อให้ได้รสชาติลงตัวไว้เสิร์ฟลูกค้าทั้งแบบร้อนและเย็น

"กาแฟส้ม" ก็ไม่ใช่เครื่องดื่มที่ทำยากเลย ใครชอบดริปกาแฟอยู่แล้วยิ่งน่าลอง พร้อมแล้วไปเปิดสูตรแล้วลุยกันเลยเหล่าบาริสต้า...

สูตร "กาแฟส้ม" ชงดื่มเองได้ 

ส่วนผสม "กาแฟส้ม" ประกอบด้วย กาแฟ 2 ช้อนชา, น้ำร้อน 1 ออนซ์, ส้ม 2-3 ลูก

- เริ่มลงมือด้วยการคั้นน้ำส้ม แล้วเอาเมล็ดออก

- ชงกาแฟกับน้ำ 1 ออนซ์ ให้ได้กาแฟช็อต (shot)

- ใส่น้ำแข็งใส่แก้วใสที่เตรียมไว้ แล้วเทน้ำส้มที่คั้นไว้ลงไปก่อน แล้วตามด้วยช็อตกาแฟ ดื่มได้ตามชอบใจ

ไม่แนะนำให้เติมน้ำเชื่อม ควรลิ้มรสความหวานจากน้ำส้ม ซึ่งจะเปรี้ยวหรือหวานนำอยู่ที่รสชาติของส้มที่ใช้เลยว่าเป็นรสชาติแบบไหน ก็จะได้กาแฟแคลอรี่ต่ำที่ดีต่อสุขภาพด้วย

เกร็ดจากข้อมูลที่ค้นหาได้ พบว่า สูตรกาแฟผสมน้ำผลไม้มีมาตั้งแต่อดีต ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ "เอสเพรสโซ่ โรมาโน" (Espresso romano) ผู้คนในเมืองกัมปาเนีย ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ดื่มกันมานาน  โดยชงช็อตเอสเพรสโซ่ กับมะนาวเลมอน ฝานบางๆ หรือน้ำมะนาม เติมน้ำตาลทราย เสิร์ฟได้ทั้งร้อนทั้งเย็น แต่ถ้าอยากได้รสชาติดั้งเดิม ต้องใช้มะนาวซอร์เลนโต้ มะนาวที่มีชื่อเสียงของอิตาลี

อย่างไรก็ตาม ที่มาของเมนูนี้มีหลายประเทศอ้างความเป็นเจ้าของทั้งสหรัฐฯ ฝรั่งเศส กรุงโรม รวมถึงเมืองกัมปาเนีย แม้สรุปไม่ได้ว่าใครที่ไหนเริ่มก่อน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก FB : Coffee by Bluehill

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ