
เหยื่อกว่า 20 ราย หอบหลักฐานเด็ด คลิปลับ แฉ "จิตอาสา" หื่น บังคับอนาจาร ลามขืนใจ
เหยื่อกว่า 20 ราย หอบหลักฐานเด็ด คลิปลับ ข้อความแชท แจ้งตร.จับ "จิตอาสา" หื่น บังคับสำเร็จความใคร่ ก่อนลุกลามกระทำชำเรา ด้าน "ทนายนิด้า" เผยยังมีเหยื่ออีกเพียบแต่ยังไม่พร้อม สาวแฉ เคยถูกชวนนวดขา ก่อนทำอนาจาร ตร.เตรียมออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องชี้แจง
18 มิ.ย. 64 ที่ สน.สายไหม น.ส.ศรันยา หวังสุขเจริญ หรือ ทนายนิด้า และ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ช่วย ส.ส.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ นำผู้เสียหายจากกรณีถูกหัวหน้าชมรมจิตอาสา อ้างตัวเป็นบิ๊กการศึกษา กระทำอนาจาร กว่า 20 ราย เข้าแจ้งความกับ พ.ต.อ. อำนาจ กาหลง ผู้กำกับการ สน.สายไหม โดยมีการนำหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ และข้อความสนทนาผ่านทางแอฟพลิเคชั่นต่างๆ ประกอบการสอบปากคำ ซึ่งในการสอบปากคำในครั้งนี้ได้มีทนายความ ทีมสหวิชาชีพเข้าร่วมสอบปากคำด้วย
โดยทนายนิด้า เปิดเผยว่า ผู้เสียหายจำนวนกว่า 20 คน ที่ถูกชาย อายุ 55 ปี หนึ่งในผู้บริหารของเครือข่ายจิตอาสาแห่งหนึ่ง กระทำอนาจารลวนลามทางเพศ ในค่ายอาสาที่ผู้ก่อเหตุจัดขึ้น และที่สำนักงานของเครือข่ายจิตอาสา ย่านถนนพหลโยธิน เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุกับพนักงานสอบสวน สน. สายไหม ในแต่ละข้อหาที่แตกต่างกันตามช่วงอายุผู้เสียหาย และพฤติการณ์ ทั้งข้อหา กระทำอนาจาร หากเป็นเด็กอายุเกิน 15 ปี จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ,เด็กอายุยังไม่ถึง 15 ปี จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี, ส่วนข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา หากเป็นเด็กอายุเกิน 15 ปี จะมีโทษจำคุกตั้งเเต่ 4-20 ปี ,อายุยังไม่ถึง 15 ปี จะมีโทษจำคุกตั้งเเต่ 5-20 ปี
ทนายนิด้า เปิดเผยต่อว่า ผู้ก่อเหตุรายนี้ กระทำอนาจารผู้เสียหายมากกว่า 40 ถึง 50 คน แต่มีผู้เสียหายที่พร้อมจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุมีเพียง 20 คน เนื่องจากผู้เสียหายบางคนยังไม่พร้อม ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจรวมถึงเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว และเกรงว่า หากบุคคลรอบข้างทราบจะรับไม่ได้ และเกิดปัญหาในภายหลัง
ทั้งนี้ ผู้เสียหาย 20 คน ให้การไปในทิศทางเดียวกันสอดคล้องกันว่า ผู้ก่อเหตุอนาจารผู้เสียหายในลักษณะพฤติการณ์ที่คล้ายคลึงกัน โดยจะเลือกช่วงเวลาขณะทำกิจกรรมภายในค่ายอาสาที่ผู้ก่อเหตุจัดกิจกรรมขึ้น หรือภายในสำนักงานของเครือข่ายจิตอาสาดังกล่าว และจะข่มขู่ไม่ให้แจ้งผู้ปกครองหรือตำรวจ เพราะจะมีผลต่อการเรียนในอนาคต โดยอ้างว่าตนเองเป็นผู้กว้างขวางในแวดวงทางการศึกษา จึงทำให้ผู้เสียหายเกิดความหวาดกลัวไม่กล้าแจ้งผู้ปกครองและตำรวจ จนกระทั่งเกิดกระแสในทวิตเตอร์จึงตัดสินใจออกมาแจ้งความดังกล่าว
ทั้งนี้จากการสอบข้อมูลข้อเท็จจริงเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นความจริงเพราะผู้เสียหายทั้งหมดให้การสอดคล้องกันแม้ระยะเวลาจะผ่านมาเป็นเวลานานและช่วงเวลาการเกิดเหตุของผู้เสียหายแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งผู้เสียหายก็ไม่ได้รู้จักกันหรือเรียนภายในโรงเรียนหรือสถานศึกษาเดียวกัน
ส่วนเรื่องพยานหลักฐานขณะนี้พบว่า มีพยานที่อยู่ในเหตุการณ์และข้อมูลปากคำของผู้เสียหายรวมแล้วมากกว่า 20 ปาก และมีพยานหลักฐานสำคัญ ซึ่งเปิดเผยให้เห็นถึงการพูดคุยเจรจาตกลงชักชวนข่มขู่และเกลี้ยกล่อมให้ผู้เสียหายยอมให้ทำอนาจาร หรือไม่ให้ไปแจ้งผู้ปกครองและตำรวจ ถือว่าเป็นพยานหลักฐานที่หนักแน่น ซึ่งมั่นใจว่าหากดำเนินการไปถึงในชั้นสอบสวนหรือในชั้นศาลจะสามารถใช้ในการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุได้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นอะไรเพราะจะมีผลต่อรูปคดี และถึงแม้คดีดังกล่าวผู้เสียหายจะถูกล่วงละเมิดมาเป็นระยะเวลานานแล้วแต่เชื่อว่าพยานหลักฐานต่างๆยังไม่เสียหายผลกระทบต่อรูปคดี
ขณะที่ผู้เสียหายคนหนึ่ง เปิดเผยว่า รู้จักกับผู้ก่อเหตุ มาตั้งแต่ต้น ม.1 และเข้าร่วมกิจกรรมอาสากับผู้ก่อเหตุเรื่อยมา จนกระทั่งผู้ก่อเหตุเริ่มมีพฤติการณ์เชิญชวนให้ไปนวดขา เพราะผู้ก่อเหตุมีอาการเมื่อยล้า จากนั้นก็บังคับให้สำเร็จความใคร่ด้วยมือ และถูกผู้ก่อเหตุบังคับให้ช่วยสำเร็จความใคร่เรื่อยมา ก่อนจะรุนแรงมากขึ้น โดยผู้ก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเราอีกหลายครั้ง โดยมีการขอให้ถอดเสื้อ และกางเกง ก่อนจะทำเสมือนว่ามีเพศสัมพันธ์กัน แต่ไม่ได้มีการสอดใส่
"สาเหตุที่ไม่ยอมแจ้งผู้ปกครอง เพื่อน หรือตำรวจ เพราะกลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อ และเห็นว่า ผู้ก่อเหตุเป็นคนที่ได้รับการนับหน้าถือตาและเคารพจากบุคคลทั่วไป อีกทั้งในช่วงเกิดเหตุ ยังเป็นเด็กจึงไม่กล้าขัดขืนผู้ก่อเหตุ ยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นเรื่องชู้สาวหรือการยินยอมพร้อมใจของหนู เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เคยพูดและห้ามตลอดว่าอย่าทำแบบนี้ แต่ผู้ก่อเหตุก็ยังกระทำอยู่ จนถึงตอนนี้โดยที่เหมือนกับไม่รู้สึกผิดอะไร ทั้งนี้อยากฝากไปถึงผู้ก่อเหตุว่า หนูไม่ได้โกรธ แต่เสียความรู้สึกที่คนที่เคารพนับถือมาเป็นเวลานานจะทำแบบนี้กับหนู" ผู้เสียหายรายนี้ระบุ
ขณะที่ผู้เสียหายรายอื่นๆ เปิดเผยว่า ถูกก่อเหตุในลักษณะเดียวกันขณะไปเข้าค่ายทำกิจกรรมที่จังหวัดขอนแก่น โดนผู้ก่อเหตุบังคับให้ไปนอนเป็นเพื่อน ซึ่งตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร และเชื่อใจว่าผู้ก่อเหตุไม่น่าจะทำอะไร แต่ในช่วงกลางคืนก็ถูกบังคับให้สำเร็จความใคร่ให้กับผู้ก่อเหตุ ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่ากลัวมาก และกลัวว่าถ้าไม่ทำเขาอาจจะข่มขืนได้จึงยอมสำเร็จความใคร่ให้เขาเพื่อเอาตัวรอด หลังเกิดเหตุเช้าวันต่อมาก็ไปนอนกับเพื่อนและบอกเล่าให้เพื่อฟังเพื่อนก็บอกว่าเคยโดนเหมือนกัน หลังจากนั้นก็ไม่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวอีก
นอกจากนี้เพื่อนของผู้เสียหายอีกรายยังกล่าวถึงเรื่องเงินบริจาคของเครือข่ายดังกล่าวว่า จิตอาสา ดังกล่าว มีการยักยอกเงินบริจาคออกไปจากเครือข่ายเข้าบัญชีของตนเองโดยไม่มีการแสดงรายการรายรับรายจ่ายหรือยอดเงินให้กับสมาชิกทราบ และนำเงินบางส่วนกลับไปใช้ส่วนตัวที่บ้าน ซึ่งเรื่องดังกล่าวสมาชิกของเครือข่ายเห็นพฤติการณ์ของผู้ก่อเหตุมาตลอดแต่ไม่กล้าทักท้วงเพราะเป็นเด็ก
ด้านนายเอ็กซ์ ผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่าย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้มีสมาชิกในชมรมเล่าเรื่องพฤติกรรมของจิตอาสา รายนี้ ให้ฟังบ่อยครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นความจริงจึงไม่ได้ดำเนินการใดๆกับผู้ก่อเหตุ ทำให้สมาชิกในเครือข่ายหลายคนไม่มาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอีกและทยอยออกจากเครือข่ายไป ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่าหากเป็นกลุ่มกิจกรรมที่จัดมาเป็นเวลากว่า 20 ปีควรจะมีสมาชิกที่เพิ่มมากขึ้นแต่ปัจจุบันก็ยังมีจำนวนสมาชิกลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ภายหลังจากมีกระแสขึ้นในทวิตเตอร์ และมีสมาชิกเก่าหลายคน ติดต่อมาเล่าเหตุการณ์ที่เคยขึ้นให้ฟังอีก แต่ตอนนั้นตนไม่เชื่อ
“จนถึงขณะนี้เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นเรื่องจริง ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ก่อเหตุก็มีนิสัยเหมือนผู้ชายทั่วไป มีผู้หญิงเข้ามาเป็นเรื่องปกติ และมีนิสัยค่อนข้างเจ้าชู้ อีกทั้งเมื่อ 2-3 วันก่อนผู้ก่อเหตุได้ติดต่อหาตนเองและพยายามชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพูดในทำนองว่าตัวเขาเป็นผู้ชายก็ต้องมีเรื่องการคุยกับสาว แต่ไม่ได้มีการล่วงละเมิดแบบที่เป็นข่าว ส่วนในประเด็นอื่นไม่ขอเปิดเผยถึงรายละเอียด” นายเอ็กซ์ ระบุ
ขณะที่พันตำรวจเอกอำนาจ กาหลง ผู้กำกับการ สน.สายไหม เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้จัดเตรียมพนักงานสอบสวนในการสอบปากคำผู้เสียหายทั้ง 20 คนแล้ว โดยจะสอบปากคำตั้งแต่ช่วงเวลาการเกิดเหตุ พฤติการณ์ของผู้ก่อเหตุ ทั้งช่วงก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ จากนั้นจะนำคำให้การของผู้เสียหายทั้งหมดรวมถึงพยานหลักฐานที่นำมามอบให้กับพนักงานสอบสวนส่งต่อให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆ และหากพบว่ามีข้อเท็จจริงที่อาจเป็นไปได้จะออกหมายเรียกให้ผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำเพิ่มเติมรวมถึงอาจจะต้องมีการเรียกเจ้าหน้าที่ในเครือข่ายองค์กรอาสาดังกล่าวมาสอบปากคำด้วย