สุดแฮปปี้ เปิดหลัก"โลโกปัตถัมภิกาเมตตา"หลัง"เจ้าคุณเจือ"ใช้ยุติปัญหาบุกทุบกำแพงวัด

จากกรณีที่พระราชปริยัติเวที หรือ “เจ้าคุณเจือ” เจ้าอาวาสวัดมุมป้อม เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (มหานิกาย) ร้องเรียน "ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช" ให้ช่วยเหลือพระพุทธศาสนากรณีกลุ่มคนในพื้นที่ ต.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช บุกรุกที่วัดอินทาราม หมู่ 3 ต.กะปาง อ.ทุ่งสง  จ.นครศรีธรรมราช  ตัดต้นไม้ ทุบทำลายกำแพงวัด และนำเสาปูนไปปักกั้นพื้นที่ภายในวัดโดยพลการไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง  พร้อมมอบภาพถ่ายเหตุการณ์เป็นหลักฐาน จนสื่อมวลชนนำเสนอข่าวกว้างขวาง

ต่อมานายอำเภอทุ่งสง ผกก.กะปาง และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบพบการกระทำตามที่ร้องเรียนจริง แต่พระราชปริยัติเวทียืนยันจะไม่แจ้งความหรือฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ใด ปล่อยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาโดยยึดหลักพระพุทธศาสนาเรื่องหลักความมาตาธรรม โดยทางตำรวจและฝ่ายปกครองได้นัดประชุมหาแนวทางแก้ไขปัญหาในวันที่ 4 พ.ค. 2564  ณ.ศูนย์ปฏิบัติการ สภ.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช โดยทุกฝ่ายคาดว่าในที่ประชุมจะต้องทีการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดรุนแรง และอาจจะไม่สามารถยุติความขัดแย้งได้ แต่กลับผิดคาดเมื่อการเจรจายุติลงได้อย่างง่ายดายโดยทุกฝ่ายต่างยอมรับได้อย่างไม่น่าเชื่อตามที่เสนอข่าวมาแล้วนั้น             

 

 

7พ.ค.64  ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการเจรจาสามารถยุติปัญหาความขัดแย้งลงได้อย่างง่ายดาย เหลือเชื่อจนกลายเป็นเรื่องที่ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง  ในขณะที่คนทั่วไปแทบไม่เชื่อว่ามันจะจบลงได้แบบง่ายดายแบบนี้ เพราะปัญหาดังกล่าวก่อตัวและลุกลามมานานแล้วจนพระราชปริยัติเวที “เจ้าคุณเจือ” เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช เจ้าอาวาสวัดมุมป้อม รักษาการเจ้าอาวาสวัดอินทาราม หมู่ 3 ต.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ได้นำเรื่องแจ้งนายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และนายอำเภอทุ่งสง จนมีการมอบหมายให้นายอำเภอทุ่งสงและศูนย์ดำรงธรรมนัดหมายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเจรจาหาข้อยุติในวันที่ 20 เม.ย. 2564 แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิดลุกลามรุนแรง ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอทุ่งสงจึงขอเลื่อนการเจรจาออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด แต่กลายเป็นว่าในวันที่ 20 เม.ย. 2654 กลุ่มผู้ก่อเหตุกลับฉวยโอกาสเข้ามาก่อเหตุทุบทำลายกำแพงวัด ตัดต้นไม้ปักเสาปูนกั้นพื้นที่ในวัด

“จนพระราชปริยัติเวที “เจ้าคุณเจือ” ต้องตัดสินใจเข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชนศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช จนกลายมีการนำเสนอข่าวออกไปอย่างกว้างขวาง โดยบรรดาแกนนำ 2-3 คนออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนและอัดคลิปลงในเฟซบุ๊กตอบโต้โจมตีพระราชปริยัติเวที หรือ เจ้าคุณเจือ อย่างดุเดือด พร้อมประกาศจะขอต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรมจนถึงที่สุด”

ในขณะที่ พ.ต.อ.สมเกียรติ ร่มโพธิ์ขวัญ ผกก.กะปาง อ.ทุ่งสง ได้ทำรายงานถึงผู้บังคับบัญชาความว่า “ในวันนี้ เวลา10.00น.ที่ ห้องประชุม ศปก.สภ.กะปาง จากหลายหน่วยงาน  ผลการประชุมตกลงกันได้ 

1.เจ้าคณะจังหวัดไม่เอาเรื่องกับชาวบ้าน  

2.ห้ามทุบกำแพงอีก ส่วนเรื่องซ่อมแซมทางวัดจะทำเอง

ในขณะที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอทุ่งสง ได้เผยแพร่เอกสารหลักฐานบันทึกข้อตกลงที่คู่กรณีและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกว่า 10 คนร่วมลงชื่อเป็นหลักฐาน โดยผลการเจรจาไกล่เกลี่ยที่ระบุในเอกสารบันทึกข้อตกลง สรุปได้ว่า

“กรณีที่มีการทุบทำลายกำแพงวัดห้ามไปดำเนินการใด ๆ อีก  ในส่วนของเสาที่ปักไว้ในวัดให้ดำเนินการรื้อถอนให้แล้วเสร็จในสภาพเดิม พระราชปริยัติเวที เจ้าอาวาสวัดมุมป้อม เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (มหานิกาย) รักษาการเจ้าอาวาสวัดอินทาราม จะยุติเรื่องไม่ดำเนินคดีใด ๆ ในกรณีดังกล่าว ทุกฝ่ายตกลงยุติเรื่องตามที่เจ้าคณะจังหวัด ฯ เสนอ และหลังจากนั้นท่านเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช และรักษาการเจ้าอาวาสวัดอินทาทรามจะดำเนินแก้ไขปัญหาและพัฒนาในส่วนของวัดอินทารามต่อไป ”

 

“แต่ต่อมาได้มีการเผยแพร่เอกสารข้อความที่พระราชปริบัติเวที “เจ้าคุณเจือ” ใช้กล่าวในลักษณะเหมือนการเทศนาในการประชุมก่อนนำเข้าสู่การประชุม ซึ่งปรากฏว่าหลังการกล่าวเทศนาทำให้ทุกฝ่ายยอมรับในแนวทางทั้งหมดทุกฝ่ายยอมรับในแนวทางทำให้เรื่องยุติลงอย่างง่ายดายเหลือเชื่อ หลายฝ่ายจึงมีแนวคิดว่าการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ หากสามารถนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ นำความสงบสุขร่วมเย็นมาสู่บ้านเมือง เพราะทุกคนยังจำเป็นที่จะต้องอยู่ในสังคมร่วมกันต่อไป”

 

 

 

 

 

 

 

สำหรับซึ่งเอกสารข้อความดังกล่าวมีข้อความระบุว่าในการประชุมร่วมเพื่อความปรองดอง 10.00 น.  4  พฤษภาคม 4 พฤษภาคม 2564  ณ ห้องประชุม ศปก.สภ.กะปาง ตำบลกะปาง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช “อาตมา พระราชปริยัติเวที เจ้าอาวาสวัดมุมป้อม ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดอินทาราม ขอชี้แจงในเบื้องต้นก่อน ดังนี้

1.ในฐานะ จิตตแพทย์ คือ บวชพระมานานถึง 45  ปี  ซึมซับและเจริญเมตตาธรรมมาตลอด มองคนและสัตว์ทุกชีวิตว่า เป็นเพื่อนร่วมชะตากรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน โดยไม่แบ่งแยกเพศ เผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา  มองพุทธบริษัททุกคนว่าเป็นญาติในครอบครัวเดียวกัน ไม่มีศัตรู ไม่มีคู่เวร ไม่มีฝ่ายตรงข้าม มีแต่บางคนอาจที่จะเข้าใจผิดในบทบาทหน้าที่ของตัวเองอยู่ ฉะนั้น อาตมาจิตตแพทย์ มีหน้าที่เยียวยาโดยชี้แจงทำความเข้าใจ ให้รู้ผิดถูก ให้รู้บุญบาป เข้าใจถึงกฎแห่งกรรม จะไม่เป็นผู้ป่วยเสียเอง คือ การโกรธเคือง หรือ ปฏิบัติตนให้เกิดความเสียหาย

2. ในฐานะ เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา เช่นเดียวกับ จนท.หรือข้าราชการอื่น ๆ เมื่อ เห็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายและเป็นความเสียหาย ก็ได้แจ้งผู้กระทำให้รับทราบตั้งแต่วันแรกที่ดำเนินการ เพื่อให้ยุติการกระทำละเมิดนั้น และมีความตั้งใจด้วยยืดหลักพระพุทธศาสนาซึ่งซึมซับอยู่ในหัวใจนั้น คือเมตตาธรรมดังกล่าวแล้ว จะไม่แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะการทำเช่นนั้น จะก่อให้เกิดความ เสียหายต่อไป แก่ผู้ทำละเมิดที่ต้องเสียเงิน เสียเวลา เสียชื่อเสียง ในทางสังคม จะเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันระหว่างพระกับชาวบ้าน ซึ่งอยู่ร่วมกันต่อไปจนกว่าจะตายจาก ในทางราชการโดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมจะเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ จนท.การยุติธรรม โดยไม่จำเป็น เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นความขัดแย้งในครอบครัวจะไม่เป็นเจ้าพนักงาน ที่เพิ่มปัญหาสังคมที่มากอยู่แล้ว ให้มากขึ้นอีก

 3.ในฐานะ ตัวแทนวัดอินทาราม ซึ่งเป็นนิติบุคคล ขออาสาเยียวยาความเสียหายใดๆ ที่ญาติโยมคณะนี้ก่อขึ้นด้วยความเข้าใจผิดและขาดวิจารณญาณ โดยการแก้ไขปรับปรุงวัดส่วนที่เสียหายให้กลับคืนสภาพเดิม และอาสาพัฒนาวัดอินทารามให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม สะดวกใช้แก่ทุกฝ่ายที่เข้าขอใช้บริการของวัด ตามแผนผังแม่บทของวัดอินทาราม (ซึ่งวัดจัดทำตามกฎกระทรวง) และ โครงการพัฒนาวัตอินทาราม ภายใต้การกำกับดูแล ติดตามตรวจสอบของมหาเถรสมาคม และรัฐบาล จะไม่ทำให้วัดเสียหาย หรือหาประโยซน์สวนตัวตามที่บางคนสงสัยเพราะวัดเป็นสมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่ที่ทำมาหากินของเจ้า อาวาส หรือใครคณะใดคณะหนึ่ง และ

4. ในการประชุมหารือเพื่อความปรองดองนี้ ซึ่งวิธีการทางรัฐศาสตร์ ให้ที่ประชุมบันทึกเสียงไว้โดยตลอด สุดท้ายสรุปอย่างไร ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ลงนามรับรองข้อตกลงร่วมกัน(เอ็มโอยู) และให้ ฝ่ายปกครองติดตามผลการปฏิบัติตามขอตกลงนั้นเป็นระยะ ๆ”

โดยพระราชปริยัติเวที “เจ้าคุณเจือ”   กล่าวว่าเมื่อทุกคนทุกฝ่ายยอมรับในระเบียบข้อกฎหมาย และต่างก็มีความปรารถนาดีต่อกัน ทำให้การหารือไกล่เกลี่ยก็ยุติลงได้โดยหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา คือหลักเมตตาธรรมค้ำจุนโลก หรือ “โลโกปัตถัมภิกา เมตตา” หมายถึงโลก(สังคม)สงบสุขได้ด้วยเมตตาคือปรารถนาดีต่อกัน และต่อไปวัด และชาวบ้านจะหารือร่วมกันในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆภายในวัด และร่วมกันพัฒนาวัดอินทารามให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธตลอดไป.   

 

 

 

 

 

 

ไพฑูรย์  อินทศิลา ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.นครศรีธรรมราช