
กองทัพเขมรกุข่าวยิงทหารไทยดับ3ที่พระวิหาร
กองทัพกัมพูชากุข่าวปั้นเรื่องทหารไทยรุกล้ำดินแดนและยิงใส่ทหารกัมพูชาก่อนปะทะเดือด ทหารพรานไทยตาย3 เจ็บ 4 ชี้เป็นการสร้างเรื่องปิดแผลแอบข้ามแดนลักลอบตัดไม้ไทย ตบตารัฐมนตรีของตัวเอง
(27ม.ค.) น.ส.พ.กัมพูชาใหม่ (กัมปูเจีย ทะเม็ย) ได้ตีพิมพ์เปิดเผยผลการปะทะกันเป็นเวลาสั้น ๆ ที่ช่องชำแต ระหว่างทหารกัมพูชากับทหารพรานไทย เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ซะรัย ดึ๊ก ผบ.พล.สนับสนุนที่ 3 ว่า การปะทะเกิดขึ้นเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น ทหารไทยได้ทิ้งไว้ซึ่งร่องรอยอันขมขื่นโดยทหารของพวกเขาเสียชีวิตคาที่ 3 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 4 ราย และการปะทะครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ทหารไทย ราว 30 นาย ลาดตระเวนเข้ามาใกล้ ๆ กับชุดลาดตระเวนของทหารกัมพูชา โดยทหารไทยได้รุกล้ำเข้ามาในดินแดนของกัมพูชาราว 300 เมตร ทหารกัมพูชาได้กวักมือเรียกทหารไทยให้หยุดเพื่อสอบถาม แต่ทหารพรานไทยไม่ฟัง แต่กลับหมอบลงกับพื้นแล้วยิงกราดใส่ทหารกัมพูชาทันที ทหารสังกัดกองพลสนับสนุนที่ 9 ของกัมพูชาจึงได้ยิงตอบโต้อย่างหนักด้วยอาวุธปืนอาร์พีจีราว 10 นัด สนับสนุนด้วยปืนอาร์ก้า เอ็ม 47 อีกหลายนัด
“หลังการสู้รบราว 20 นาที ผู้บัญชาการกองกำลังส่วนหน้าฝ่ายไทยในระดับกองพัน ขอเจรจาด่วน ที่บริเวณด้านหน้าภูมะเขือบอกกับฝ่ายเราว่า ทหารของพวกเขาได้รับบาดเจ็บ 4 นาย แต่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต” พล.ต.ซะรัย ดึ๊ก กล่าว
ด้านพล.ท.เจีย ดารา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์กับ น.ส.พ.กัมพูชาใหม่ว่า ก่อนการปะทะกันที่ชำแตทหารไทยได้ทำปืนกลลั่นที่ด้านหน้าภูมะเขือในช่วงเวลาประมาณ 8.30น. ถัดจากนั้นราว 20 นาที กลับได้ยินเสียงระเบิดที่ชำแตซึ่งนี่ไม่ใช่เป็นการทำปืนลั่นแต่เป็นการยิงเข้าใส่ ซึ่งช่องชำแตอยู่ทางทิศตะวันออกของปราสาทพระวิหาร (ปราสาทเปรียะวิเฮียร์) ห่างจากแนวเทือกเขาพนมดงรักประมาณกว่า 10 กิโลเมตร การปะทะกันครั้งนี้ ทหารกัมพูชาได้ปกป้องฐานที่มั่นอย่างเข้มแข็ง ยึดมั่นในคำสั่งของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรี ในการปกป้องดินแดนของเราไม่ให้ข้าศึกรุกราน นอกจากนี้เรายังทำให้ศัตรูเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
พลจัตวา ซอม บุบผารัตน์ ผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการภาคสนามจังหวัดพระวิหาร ให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุของปะทะกันเนื่องจากทหารพรานไทยเดินลาดตระเวนรุกล้ำเข้ามาในดินแดนกัมพูชา พวกเขามีเจตนาดูหมิ่นอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา เราจึงจำเป็นต้องตอบโต้โดยทหารผู้ใต้บังคับบัญชาของตนใช้ปืนอาร์พีจีรุ่นบี 40 และ 41 ราว 10 นัด และอาวุธชนิดอื่นอีกหลายนัด ทำให้ทหารไทยถอยร่นกลับไปฝั่งไทย ซึ่งภายหลังการปะทะกันยุติลงทหารกัมพูชาไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลย แต่ทหารไทยมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เพียงแต่ตนไม่ทราบว่ามีจำนวนเท่าใด
ขณะที่แหล่งข่าวสายทหารของไทย ที่ปฏิบัติหน้าที่บนชายแดนเขาพระวิหาร กล่าวว่า การออกมาให้ข่าวของนายทหารกัมพูชาดังกล่าว เป็นเรื่องการสร้างข่าวขึ้นมาทั้งสิ้น ซึ่งสาเหตุของการปะทะจริง ๆเกิดจากทหารพรานเราได้เดินลาดตระเวนไปเจอกลุ่มตัดไม้ ซึ่งรุกล้ำเข้ามาตัดในเขตพื้นที่ชายแดนบริเวณบ้านเก่า ที่ชาวบ้านเรียกว่า บ้านหนองใหญ่ อยู่บนหัวเขื่อนห้วยขะนุน ต.ภูผาหมอกซึ่งเป็นเขตแดนไทยอย่างชัดเจน และที่ผ่านมาทหารพรานเราได้ยึดเครื่องมือในการตัดไม้ได้หลายครั้ง หลายรายการ และผลการปะทะทุกครั้งฝ่ายกัมพูชาจะเป็นฝ่ายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ดังนั้นการปะทะครั้งล่าสุด พวกเขาจึงระดมเครื่องยิงลูกระเบิดชนิดต่าง ๆ เพื่อป้องกันคนของเขาก่อนล่าถอยกลับไป
"วันเกิดเหตุเป็นช่วงจังหวะที่ นายฮอ นำฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมกำลังพลบริเวณพลาญอินทรีย์ ภูมะเขือ พอดี ดังนั้นหากฝ่ายเขาได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตตรงจุดเกิดเหตุ จะต้องมีการประสานงานระหว่างผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่าย เพื่อตรวจสอบพื้นที่ปะทะ และหากนายฮอ นำฮงและคณะ เดินทางไปที่เกิดเหตุด้วยก็จะรู้ความจริงเรื่องขบวนการที่ทหารกัมพูชานำกำลังเข้ามาลักลอบตัดไม้ในไทย ดังนั้นจึงสร้างเรื่องเพื่อเบนความสนใจโยนความผิดให้ทหารไทยว่าเป็นฝ่ายรุกล้ำดินแดน และยังสร้างข่าวว่าทหารเราเสียชีวิต 3 รายอีกด้วยซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมาที่น่าอายที่สุด" แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับเหตุปะทะระหว่างทหารพรานของไทยกับทหารกัมพูชา เช้าวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น ในเวลา 11.30 น.วันเดียวกัน พ.อ.ธเนศ วงศ์ชอุ่ม เสนาธิการกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 พร้อมด้วย พ.อ.ธวัชชัย แจ้งประจักษ์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 และคณะนายทหารของกองกำลังสุรนารี ได้เดินทางไปที่ฐานปฏิบัติการซำแตโดยได้ไปประชุมร่วมกับ พล.ท.ซะรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชา และคณะนายทหารของกัมพูชาเพื่อหารือเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยมีมติข้อตกลงร่วมกันว่าเนื่องจากขณะนี้ยังคงมีการประจันหน้ากันระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายบริเวณจุดที่มีการปะทะกันเนื่องจากทหารกัมพูชาลาดตระเวนล้ำเข้ามาในเขตแดนไทยซึ่งที่ประชุมมีมติให้ทหารทั้งสองฝ่ายถอนตัวออกจากจุดที่มีการปะทะกันกลับไปยังที่ตั้งของแต่ละฝ่ายซึ่งจากการที่ได้มีการตรวจสอบพื้นที่ที่มีการปะทะกันแล้วปรากฏว่าไม่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บของทั้งสองฝ่ายแต่อย่างใด