ข่าว

ปชช.รวมกลุ่มทวงคืนแผ่นดินชายแดนไทย-เขมร

ปชช.รวมกลุ่มทวงคืนแผ่นดินชายแดนไทย-เขมร

26 ม.ค. 2553

เครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ -สภาประชาชน 4 ภาค รวมกลุ่มเรียกร้องทวงคืนแผ่นดินที่ชาวกัมพูชาลุกร้ำเข้ามาตามแนวชายแดน

 เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 26 มกราคม 2553 ที่บริเวณลานหน้าวัดขาโต๊ะ ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ได้มีเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ (ดคม.) สภาเครือข่ายประชาชนอีสาน (สอส.) สภาประชาชน 4 ภาค ร่วมกับประชาชน จ.สุรินทร์ และประชาชนในจังหวัดใกล้เคียงได้นำรถบรรทุก 6 ล้อ และรถปิกอัพ จำนวนนับสิบคัน เข้ามาจอดปักหลักในพื้นที่ โดยมีประชาชนประมาณ 300 คนรวมกลุ่มเพื่อเรียกร้องทวงคืนแผ่นดิน

 กลุ่มดังกล่าวนี้มีความเชื่อว่าประเทศไทยได้สูญเสียดินแดนที่เคยทำกินมาก่อนปี 20 แม้ทางรัฐบาลจะประกาศชัดเจนว่าประเทศไทยยังไม่สูญเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว แต่ทางกลุ่มให้เหตุผล ประการแรก ทางกลุ่มเชื่อว่าประเทศไทยสูญเสียดินแดนให้ประเทศกัมพูชา อันเนื่องจากการอพยพหนีภัยสงคราม การสู้รบกันเองของคนกัมพูชา ทั้งที่อพยพกันเองเพราะกลัวลูกหลงหรือทางราชการให้ออกมาเพราะกลัวความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินกว่า 30 ปีแล้ว  แต่พอสงครามสงบประชาชนก็ยังไม่สามารถเข้าไปทำกินได้ เพราะพื้นที่ได้ถูกทางการประกาศเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ  , เป็นเขตรักษาพันธุ์ป่าและพันธุ์พืช ,เป็นป่าสงวนแห่งชาติ หรือแม้แต่ประกาศเป็นพื้นที่ความมั่นคง

 ประการที่ 2 มีชาวกัมพูชาเข้ามาตัดไม้ในฝั่งไทยลึกเข้าเขต 2-6 กิโลเมตรจากชายแดน บางแห่งมีการทำการผลิต  บางพื้นที่มีการตั้งชุมชน โดยที่เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยยังเพิกเฉย และประการสุดท้าย ทางรัฐบาลมีมติเห็นชอบร่วมกับรัฐสภา  เมื่อวันที่ 28 ต.ค.51 การรับกรอบเจรจาชั่วคราวของ (JBC) กรรมาธิการปักปันเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ที่นักวิชาการระบุว่ามีการสอดไส้ แผนที่ 1: 200,000  ให้เป็นอำนาจหน้าที่ในการปักปัน  ซึ่งในอดีตประเทศไทยสูญเสีย “ปราสาทเขาพระวิหาร" จากการตัดสินของศาลโลกมาแล้วเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา นักวิชาการ สมาชิกวุฒิสภา ได้ชี้ว่าแผนที่ชุดนี้ ได้ชี้ว่าอาจหมายรวมว่าประเทศไทยจะสูญเสียดินแดนครั้งนี้ไม่น้อยกว่า 1,800,000 ไร่

 เพื่อเป็นการป้องกันการสูญเสียดินแดนในครั้งนี้ ทางเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ ได้ลงชื่อร่วมกันกว่า 70,000  คน  ตามคำประกาศเมื่อวันที่ 15 ก.ย.52 วันที่ 2 พ.ย.52 ที่วัดป่าเขาโต๊ะ ต.บักได  อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ และวันที่ 29 พ.ย.52 ที่เขื่อนห้วยตาเขียว ต.บึงเจริญ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ได้ลงมติร่วมกันว่า พวกเขาจะไม่ยอมสูญเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ,ทางกลุ่มไม่มีที่ดินทำกิน ,มีแต่ไม่เพียงพอ ,อยากได้ที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย

 จึงมีข้อเรียกร้องมายังรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่าต้องการให้รัฐบาลยกเลิกมติรัฐสภา เมื่อวันที่ 28 ต.ค.51 เรื่องกรอบเจรจาชั่วคราวทั้งหมดของไทย-กัมพูชา ,ทางกลุ่มต้องการไปสร้างชุมชนและทำกินในที่ดินเดิมก่อนปี 20 รวมถึงที่ที่จะยกให้กัมพูชา ตามมติวันที่ 28 ต.ค.51 โดยขอให้รัฐบาลกรุณาผ่อนปรนให้จากกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย   เพื่อเป็นหลักประกันว่าไทยจะไม่สูญเสียดินแดน ตามความเชื่อของกลุ่ม

 นายสำราญ สมบังได แกนนำกลุ่มทวงคืนแผ่นดินแม่ หนึ่งในสภาประชาชน 4 ภาค 3 จังหวัดอีสานใต้ ประกอบด้วย จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ กล่าวว่า ทางกลุ่มมาด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อต้องการทวงคืนแผ่นดินแม่แผ่นดินพ่อ  เพราะตนและกลุ่มไม่ต้องการสูญเสียดินแดนให้กับประเทศไทยใดๆ ทั้งสิ้น โดยตามแนวชายแดนได้มีชาวกัมพูชาเข้ามาตั้งชุมชนทำกิน เข้ามาในเขตพื้นที่ของประเทศไทยโดยที่คนไทยแม้แต่จะเข้าไปหาของป่ายังไม่สามารถเข้าไปได้  ในขณะที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยังเพิกเฉยอยู่ และยังได้กล่าวอีกว่าต้องการให้รัฐบาลยกเลิกมติรัฐสภา เมื่อวันที่ 28 ต.ค.51 ซึ่งพวกตนจะเข้าไปทวงคืนแผ่นดินที่ถูกลุกล้ำเข้ามา และพวกตนจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่รางนิ้วเดียว

 ชาวบุรีรัมย์ผู้ไร้ที่ทำกินบุกยึดพื้นที่ชายแดนไทย-เขมร
      
 เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (26 ม.ค.) ได้มีชาวบ้านไร้ที่ทำกินกลุ่มเครือข่ายสภาประชาชน 4 ภาค จาก จ.สระแก้ว สุรินทร์ มหาสารคาม และบุรีรัมย์ กว่า 500 คน ได้รวมตัวกันนำสัมภาระ เครื่องมือทำการเกษตร บุกเข้าไปยึด แผ้วถาง เตรียมแบ่งที่ดินเพื่อจัดสรรเป็นที่ทำกินบริเวณเขตป่าสระสาม บ้านราษฎร์รักแดน ต.หนองแวง อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์พื้นที่กว่า 500 ไร่ ซึ่งบริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติตาพระยา และเป็นเขตรอยต่อชายแดนไทย-กัมพูชา

 โดยชาวบ้านอ้างว่าที่บุกยึดครอบครองพื้นที่บริเวณนี้ เพื่อป้องกันการรุกล้ำเขตแดนของชาวกัมพูชา และต้องการเข้าทำกินในพื้นที่ผืนนี้ ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ละหานทราย , ทหารพรานที่ 26 , ตชด.215 , เจ้าหน้าที่ป่าไม้และฝ่ายปกครอง อ.ละหานทราย ได้นำกำลังเข้าสกัดกั้นการบุกรุกของชาวบ้าน พร้อมเจรจาเพื่อให้ชาวบ้านหยุดแผ้วถางป่าและผลักดันออกจากป่า เนื่องจากป่าผืนนี้เป็นป่าอนุรักษ์และเป็นป่าต้นน้ำ 

 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัว นายสมร พลเกิด ประธานเครือข่ายทวงคืนแผ่นดินแม่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นแกนนำชาวบ้านพร้อมพวกรวม 3 คน ไปสอบสวนที่ สภ.ละหานทราย แต่ยังไม่แจ้งข้อหากับแกนนำทั้ง 3 คนแต่อย่างใด ส่วนชาวบ้านแม้จะถูกเจ้าหน้าที่ผลักดันออกจากเขตป่าสระสาม แต่ยังคงยืนยันจะปักหลักอยู่บริเวณถนนทางเข้าเพื่อรอให้มีการปล่อยตัวแกนนำที่ถูกตำรวจควบคุมตัวไป และยังคงยืนยันจะเข้าทำกินในป่าผืนดังกล่าว            

 นายสมร กล่าวว่า ที่ดินผืนดังกล่าวเคยเป็นที่ทำกินของชาวบ้านมาก่อนในอดีต และเมื่อเกิดการสู้รบระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ชาวบ้านจึงมีการอพยพออก ต่อมาจึงมีการประกาศเป็นเขตพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติตาพระยา ซึ่งชาวบ้านต้องการจะเรียกร้องให้จัดสรรพื้นที่ดังกล่าวเพื่อให้ชาวบ้านที่ไร้ที่ทำกินได้เข้าไปทำกินเช่นเดิม นอกจากนี้เจตนารมณ์ของชาวบ้านคือต้องการจะปกป้องบริเวณชาวแดนนี้เพื่อไม่ให้กัมพูชาเข้ามารุกล้ำเขตแดน จนต้องเสียดินแดนของไทยไป เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ติดกับชายแดนไทย-กัมพูชา          

 ด้านนายประยูร แก้วกาญจน์ อยู่บ้านเลขที่ 22  ม.8 ต.หนองแวง อ.ละหานทราย หนึ่งในชาวบ้านที่มาเรียกร้องที่ทำกินในครั้งนี้ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลจริงใจในการแก้ไขปัญหา มีชาวบ้านอีกจำนวนมากที่ไร้ที่ทำกิน และที่ดินบริเวณนี้ก็ติดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งชาวบ้านต้องการจะเข้ามาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรุกล้ำดินแดนของชาวกัมพูชา ซึ่งยืนยันว่าจะมีการปักหลักเพื่อเข้าทำกินในที่ดินผืนนี้ต่อไป

ชาวบ้านแห่จับจองที่ทำกินแนวชายแดนไทย-เขมร

 เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 26 มกราคม 2553 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณด่านตรวจฐาน ทกย.ฉก.ร. 16 บ้านนาตำบล หมู่ที่  1 ต.ไพรพัฒนา อ.ไพรพัฒนา จ.ศรีสะเกษ ได้มีประชาชนจากพื้นที่ อ.ภูสิงห์ ขุขันธ์ ไพรบึง ปรางค์กู่ อำเภอใกล้เคียง และประชาชนจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น สุรินทร์ บุรีรัมย์ ได้นั่งรถกระบะ รถจักรยานยนต์ นับพันคน เพื่อขึ้นไปจับจองที่ทำกินบริเวณตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนวเทือกเขาพนมดงรัก บริเวณภูมิกอง ห้วยหิน หนองระหาร ซึ่งเป็นพื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยศาลา พื้นที่ป่ามติ ครม.มีพื้นที่คลุม อ.ภูสิงห์ ขุขันธ์  ขุนหาญ และกันทรลักษ์ ซึ่งเป็นผืนป่าต้นน้ำลำธารสายเลือดชาวจังหวัดศรีสะเกษ ที่มีพื้นที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนว    
           
 แต่ปรากฎว่า ชาวบ้านได้ถูกเจ้าหน้าที่สกัด โดย นายพีระเดช โทมัส นายอำเภอภูสิงห์ นำกำลัง อส. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูสิงห์ ทหารหน่วย ทกย.ฉก.ร. 16 ทหารพรานที่ 230 1 เจ้าหน้าที่ อปพร.ภูสิงห์ นับ 100 นายสนธิกำลังตั้งด่านสกัดเจรจาชาวบ้านจนเป็นที่เข้าใจส่งผลให้ชาวบ้านเนทางกลับ        
      
 นายสมพงษ์ สิทธิสกุลชัย ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดศรีสะเกษ (ทสจ.) กล่าวว่า ได้มีชาวบ้านจาก อ.ภูสิงห์ ขุขันธ์ ปรางค์กู่ ไพรบึง อำเภอใกล้เคียงและจังหวัดใกล้เคียง ได้เดินทางขึ้นไปพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยศาลา ซึ่งเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติที่คลุมด้วยพื้นที่ 4 อำเภอ ประกอบด้วย อ.ขุขันธ์ ภูสิงห์ ขุนหาญ และกันทรลักษ์ ซึ่งมีเนื้อที่มากกว่า 1 ล้านไร่ มีพื้นที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดแนวตามเทือกเขาพนมดงรักเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร

 สำหรับป่าดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าตามมติ ครม. ไม่สามารถออกเอกสารสิทธ์แก่ใครได้ หรือแม้แต่เข้าไปถากถางป่าเป็นที่ทำกินก็ไม่ได้  เพราะเป็นป่าที่ถูกต้องตามกฎหมาย หากใครฝ่าฝืนจะถูกดำเนินการทันที่ทางด้านกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามอย่าไปหลงเชื่อใดๆ ในการแอบอ้างว่าทางการจะมีการจัดสรรที่ทำกินแก่ใครได้  อย่าไปหลงเชื่อ เพราะอาจต้องเสียทรัพย์สิน ถูกหลอกให้เสียทรัพย์          
     
 ในเวลาต่อ เจ้าหน้าที่มีการประชุมร่วมระหว่าง พ.อ.ธัญญา เกียรติสารรองเสนาธิการกองกำลังสุรนารี นายสมพงษ์ สิทธิโชคสกุลชัย ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.ศรีสะเกษ นายหมวดตรีสุวรรณ สัมฤทธิ์ ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง นายสันติ ศรีศิปกร หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ศรีสะเกษ ร่วมกันประชุมรับมือระยะยาวในการร่วมแก้ปัญหาต่อไป