
ชี้5สินค้าเสี่ยงถูกถล่มจากอาฟตาไทยพาณิชย์มองผลกระทบเศรษฐกิจรวมไม่มาก
ศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์ชี้ไทยรับผลกระทบอาฟตาไม่มาก มองมี 5 กลุ่มที่เสี่ยงต่อการแข่งขันด้านราคา ติงไทยใช้ประโยชน์จากการเปิดค้าเสรีน้อย ด้านผู้ผลิตเครื่องสำอางห่วงรายเล็กไม่ปรับตัว อาจต้องปิดกิจการ
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ได้วิเคราะห์ผลกระทบและประโยชน์ที่ไทยจะรับจากเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ฉบับต่างๆ พบว่าในปี 2553 เศรษฐกิจไทยโดยรวมยังไม่น่าได้รับผลกระทบมากนักจากการปรับลดภาษีเหลือ 0% โดยธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ยาสูบ สุรา สิ่งทอ (ยกเว้นเสื้อผ้า) เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน กาแฟ และชา
ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการถูกตีตลาดจากผู้นำเข้าสินค้ามาจากประเทศคู่สัญญา โดยเฉพาะอาเซียน จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย และเป็นกลุ่มที่อาจมีความเสี่ยงจากราคาขายสินค้าในประเทศลดต่ำกว่าสัดส่วนของต้นทุนที่ลดลง
อย่างไรก็ดี ผลของเอฟทีเอทำให้ธุรกิจมีต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบที่ถูกลง และมีโอกาสขยายฐานส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งจากการวิเคราะห์แยกรายสินค้า พบว่าหลายธุรกิจมีศักยภาพในการขยายฐานการส่งออก เนื่องจากมีส่วนต่างระหว่างอัตราภาษีนำเข้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และอัตราภาษีภายใต้เอฟทีเอ เช่น การส่งออกข้าว ยางแผ่นรมควัน และผลิตภัณฑ์ยางไปยังประเทศจีน และการส่งออกยางรถยนต์ไปยังประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย
"ที่ผ่านมาไทยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอไม่เต็มที่ ซึ่งส่วนนี้ขึ้นอยู่กับความรู้และความเข้าใจในเงื่อนไขต่างๆ ของเอฟทีเอ ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องอาศัยข้อมูลข่าวสาร การพิจารณาผลได้ผลเสีย และการสนับสนุนการพัฒนาในลักษณะบูรณาการมากขึ้น เพื่อนำเอฟทีเอไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
ขณะที่นางเกศมณี เลิศกิจจา ผู้ผลิตเครื่องสำอางไทยมองว่า การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ อาฟตา จะทำให้ธุรกิจเครื่องสำอางมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น โดยกลุ่มเครื่องสำอางแบรนด์ท้องถิ่นของเอสเอ็มอีและโอท็อป ที่มีอยู่ประมาณ 700 ราย จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มีการปรับตัวรองรับผลของอาฟตา ซึ่งสินค้าจีนที่มีต้นทุนและราคาถูกกว่าสินค้าไทยจะเข้ามาแข่งขันมากขึ้น
"หากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไม่มีการปรับตัวรับการแข่งขันครั้งนี้ ก็อาจจะทำให้ต้องปิดกิจการได้ แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่เห็นผลกระทบชัดเจน เพราะเพิ่งเริ่มต้น แต่เชื่อว่า ไม่เกิน 2-3 ปีข้างหน้า จะเห็นภาพชัดแน่นอน" นางเกศมณีกล่าว
อย่างไรก็ตาม นายพรชาย พิริยบรรเจิด กรรมการผู้จัดการ บริษัท แพน ราชเทวี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กลับมองว่า อาฟตาจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเครื่องสำอางมากกว่าผลเสีย เพราะไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องสำอางคุณภาพ จึงมีโอกาสในการขยายตลาดส่งออกเพิ่ม แต่ที่น่าเป็นห่วงคือแบรนด์เอสเอ็มอีที่ไม่มีการปรับตัว หรือสินค้าไม่มีคุณภาพที่ดี อาจจะต้องถูกบีบออกจากตลาด