ข่าว

รู้จัก 'บิ๊กต่อ'นายพลคนดังมือปราบสายธรรมะ 

รู้จัก 'บิ๊กต่อ'นายพลคนดังมือปราบสายธรรมะ 

19 ก.พ. 2564

กลายเป็นประเด็นร้อน การอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 4  เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ หลังส.ส.พรรคก้าวไกลพูดพาดพิงถึง พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการสอบสวนกลางนายพลคนดัง ได้รับการยกเว้นหลักเกณฑ์การดำรงตำแหน่งตามระยะเวลาที่กำหนด

ประเด็นร้อนศึกซักฟอกไม่ไว้วางใจ วันที่ 4 หนีไม่พ้นประเด็นการอภิปรายของ รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่หยิบยกเรื่องการโยกย้ายและการใช้เส้นสายในวงการตำรวจ และมีการพาดพิงถึงนายพลคนดัง “บิ๊กต่อ” พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยมุ่งย้ำเรื่องการได้รับการยกเว้นหลักเกณฑ์การดำรงตำแหน่งตามระยะเวลาที่กำหนด 

ขณะที่ พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงชัดเจนว่า  ในสมัยที่เป็นประธานคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ทำตามระเบียบของตำรวจและตามกฎหมายทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ส่วนรายละเอียดเรื่องใครได้ตำแหน่งหรือไม่ได้ เป็นเรื่องภายในว่าจะต้องพิจารณาว่าใครมีความสามารถอย่างไร และอยู่ในดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชาว่าจะรับพิจารณาหรือไม่ ซึ่งเป็นไปตามหลัก ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และเหตุผลอันสมควรที่ต้องแต่งตั้งไปดำรงตำแหน่ง

เมื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังของพล.ต.ท.ต่อศักดิ์   ก่อนที่จะผงาดนั่งเก้าอี้ “ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง” พบว่าผ่านการปฏิบัติหน้าที่ในยุทธจักรสีกากีมาอย่างโชกโชน โดยพลตำรวจโท ต่อศักดิ์ เรียนจบระดับปริญญาตรีที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสิงห์แดง รุ่นที่ 38 ก่อนที่จะเข้าทำงานเป็นพนักงานของบริษัทน้ำมัน ประมาณ 7 ปี และตัดสินใจลาออก เดินตามฝันตั้งแต่วัยเด็ก คือการรับราชการตำรวจ

หลังจากนั้นได้เข้าอบรมหลักสูตรการฝึกอบรมผู้มีวุฒิทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เพื่อบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอต.) รุ่นที่ 4

 

ต่อมาเข้าสู่เส้นทางอาชีพตำรวจตั้งแต่ปี 2540 ในตำแหน่งรองสารวัตร กองกำกับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 หรือ ตำรวจ 191 เป็นเวลาถึง 2 ปี ซึ่งขณะที่ติดยศร้อยตำรวจโทนั้น ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสืบสวนที่วิทยาลัยการตำรวจ และเรียนจบสอบได้ที่ 3 ซึ่งเป็นไปตามกติกาผู้ที่สอบได้ที่ 1 และ 2 จะไปอยู่กองปราบ

แต่เนื่องจากเวลานั้นคนที่ได้ที่ 1 อยู่กองปราบอยู่แล้ว ส่วนคนที่ได้ที่ 2 ติดภารกิจครูอยู่ที่ศูนย์ฝึกอบรม ทำให้ “บิ๊กต่อ” จึงได้ย้ายจาก 191 มาเป็น รองสารวัตรอยู่ในสังกัดกองปราบปราม และเป็นหัวหน้าชุดสืบสวน อยู่งานแผนก 3 กอง 2 รถวิทยุ ใช้ชีวิตเป็นตำรวจอยู่ที่กองปราบปราบนานถึง 17 ปี

 เส้นทางการรับราชการตำรวจของ “บิ๊กต่อ” ยังคงเดินหน้าต่อไป โดยขึ้นเป็น สารวัตรท่องเที่ยว ที่สถานี 3 กองกำกับการ 1 ก่อนจะย้ายจากสายตำรวจท่องเที่ยวมาดำรงตำแหน่ง สารวัตรกองร้อยที่ 3 คุมเรื่องการปราบจลาจล

เมื่อครั้งมีการเปลี่ยนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ก็ได้รับการสับเปลี่ยนตำแหน่งให้มาคุมรถสายตรวจกองร้อยที่ 5 จนได้ขึ้นเป็น รองผู้กำกับหน่วยคอมมานโด และได้ไปเข้าเรียนโรงเรียนผู้กำกับ และได้มาเป็นรองผู้กำกับ จนเข้าป้ายที่ผู้กำกับการหน่วยคอมมานโด หลังจากนั้นได้ขึ้นเป็นรองผู้บังคับการกองปราบปราม เมื่อปี 2561 และก้าวขึ้นเป็น ผู้บังคับมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 ก่อนจะมาเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในที่สุด

   

  

สำหรับ ชื่อเสียงของ “บิ๊กต่อ” ได้รับเสียงชื่นชมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในวงการผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และบุคคลทั่วไป   โดยเสียงชื่นชมที่สังคมรู้จัก เริ่มจากช่วงหลังงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อโลกโชเชียลได้มีการเผยแพร่ภาพของนายตำรวจใหญ่ แต่งกายเต็มยศก้มกราบหญิงชราที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ อยู่ริมถนน

และเหตุการณ์ ปฏิบัติการปิดล้อม “เทอร์มินอล 21 โคราช” เมื่อต้นปี 2563 ในการช่วยเหลือประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกจับเป็นตัวประกันออกมาจากห้างสรรพสินค้า โดยทำหน้าที่เป็นหนึ่งในขุนพลที่อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งได้นำกำลังตำรวจหน่วยคอมมานโด พร้อมด้วยหน่วยหนุมาน และตำรวจหน่วยนเรศวร 261 ตชด.และทหาร

รวมถึงวาทะเด็ด ที่พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ได้มอบนโยบาย ในงานวันสถาปนากองบังคับการปฎิบัติการพิเศษ ครบรอบปีที่ 2 "ที่นี่ตำแหน่งเลือกคน ไม่ใช่คนเลือกตำแหน่ง ทำให้ทำงานเพื่อหน่วยก่อน ถ้าไม่เป็นที่พึ่งประชาชน คอมมานโดไม่มีทางโต" 

 พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ช่วงนี้อาจจะปรากฎชื่อผ่านทางหน้าสื่อบ่อยครั้ง โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพจ“สนับสนุนปฏิรูปตำรวจ” ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลที่กล่าวอ้างถึงหนังสือราชการเป็นคำสั่งให้รายงานชี้เเจงกรณีการจับผู้ต้องหาคดียาเสพติด พร้อมไอซ์ 1,500 กิโลกรัม และกล่าวอ้างพาดพิงว่า มีนายตำรวจยศพลตำรวจโท มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดนี้ ทำให้ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ได้ให้ตัวแทนไปแจ้งความเอาผิดในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เนื่องจากทำให้เสื่อมเสีย และมาปรากฎชื่ออีกครั้ง ในการถูกพาดพิงครั้งนี้