"เฌอเอม" เปิดใจปมดราม่า นางงามคนแรกที่โดนแก็สน้ำตา คนสาธารณะต้องมีสิทธิพูดอย่างอิสระ ความคิดของเราต้องมีที่ยืน

จากกรณี “เฌอเอม” ชญาธนุส ศรทัตต์ ผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวอร์สไทยแลนด์ 2020 ทวีตข้อความว่า ตัวเองเป็นนางงามคนแรกที่โดนแก๊สน้ำตา จนนำมาซึ่งดราม่าร้อนแรง ถึงขนามีคนเข้ามาคอมเมนต์หลายคนว่า เจ้าตัวยังไม่ได้เป็นนางงาม ไม่ควรใช้คำว่านางงาม เพราะไม่ได้ทำตามกฎ จึงไม่มีสิทธิได้แข่งต่อ  จนทำให้ข้อความดังกล่าว ถูกรีทวีตอย่างรวดเร็ว เกือบ 3 หมื่นครั้ง ภายในเวลา 30 นาที  

ล่าสุด ปารีณา ไกรครุปต์ ได้เข้าแจ้งความ โดยได้โพสต์ภาพขณะเข้าแจ้งความ บนเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมระบุว่า ข้อความที่ทางคู่กรณีโพสต์ดังกล่าว ทำให้สื่อ และสังคมเกิดความเข้าใจผิดว่า มีการใช้แก๊สน้ำตาในการชุมนุม จนทำให้ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. และเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ ต้องออกมาแถลงข่าวชี้แจงว่า ไม่เป็นเรื่องจริงแต่อย่างใด อีกทั้ง การโพสต์ข้อความโดยใช้คำว่า นางงาม ก็เป็นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ เพราะทำให้สังคมเข้าใจว่า นางสาวชญานุสฯ เป็นนางงาม ซึ่งข้อเท็จจริงนางชญานุสฯ เป็นเพียงผู้สมัครเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์เท่านั้น การโพสต์ข้อความดังกล่าว ส่งผลให้สังคมเข้าใจผิด เกิดความเสียหาย และเป็นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ เป็นอาญาแผ่นดิน

อ่านข่าว  : "ปารีณา" แจ้งความจับ "เฌอเอม" นางงามแก๊สน้ำตา

หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ล่าสุด “เฌอเอม” ชญาธนุส ศรทัตต์ ได้มาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Workpoint Today เปิดใจถึงเรื่องราวทั้งหมด พร้อมยืนยัน  เราไม่ได้อยากให้คนคิดเหมือนเรา แต่ต้องการให้ความคิดของเรามันมีที่ยืน 

ข่าวเพิ่งออกมาว่าคุณปารีณาไปแจ้งความกัเฌอเอม รู้สึกอย่างไรบ้างคุณปารีณาให้แสงเราเลย ? 

ที่จริงคุณปารีณาเขาฉลาดมากนะคะ เป็นตัวบ่งชี้ว่าเรื่องนี้สำคัญถ้าไม่สำคัญเขาไม่ออกมา เราจะเห็นว่าความเคลื่อนไหวของเขาสำคัญต่อเสถียรภาพรัฐบาล เขาสามารถชักนำความเห็นของกลุ่มใหญ่ในสังคมได้เขารู้วิธีที่ตะควบคุมจิตวิทยาหมู่ เขารู้ธรรมชาตของกระแสสังคมว่ามันเป็นยังไง มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า หนึ่งคือกำลังมีเรื่องจะเกิดขึ้นหรือเปล่าในสภา มันมีอะไรมั้ยที่มันอยู่ระหว่างกระบวนการขุดคุ้ย สองคือ ในคืนนั้นมันมีอะไรมากกว่าที่เราคิดหรือมากกว่าที่เราเห็นหรือเปล่า ถามว่าเอมคิดว่ามันมีสาระไหม เอมก็คิดว่ามันไม่มี ถ้าตำรวจรับหมายไปเนี่ยเราก็ต้องไป มันเป็นการบีบให้เราไป เท่ากับว่าเราจะกลายเป็นคนที่ปกป้องความชอบธรรมของมวลชนซะเอง ถ้าครั้งนี้เขาแย้งหรือว่าเขาอะไรโอเคเขาไม่ได้ใช้เราโกหก แต่มันเกิดความเชื่อขึ้นมาว่าเอาโกหก
 

ครั้งก่อนๆที่มีรถฉีดน้ำมีการผสมสารเคมี มันก็อาจถูกย้อนว่าโกหกทั้งหมดเลยก็ได้เหมือนกันคือการดิสเครดิตตัวปัจเจก แล้วเอาตัวปัจเจกไปรวมกับมวลชนใหญ่ มันเป็นจิตวิทยาที่ใช้ได้ ในการชักนำคนฝั่งตรงข้าม หรือคนที่เขาไม่ได้มีความรู้พื้นฐาน หรือไม่อยากจะคิดวิเคราะห์ในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นพอมันมีการบีบบังคับแบบนี้เกิดขึ้น เราก็เลยมองว่า มันเกี่ยวข้องกับการเมือง 100% ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นบุคคลสาธารณะ แล้วเขาอยากจะปรามเราลง อันนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องหนึ่ง คือถ้าเอมไปแล้วแล้วมันถูกการถูกข่มขู่ขึ้น ไม่ว่าจะในเชิงปฎิบัติหรือว่าในเชิงทฤษฏี ในเชิงสังคม ทำให้เรารู้สึกว่าเราตัวคนเดียว เราไม่สามารถพูดอะไรได้ ครั้งต่อๆไปที่มันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ที่มันขาดเสรีภาพทางสื่อ มันขาดเสรีภาพการแสดงออก บุคคลที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าคุณจะอยู่หรือไม่อยู่ในเหตุการณ์คุณก็จะไม่ออกมาพูด เพราะได้มีตัวอย่างไปแล้ว ว่าสังคมจะกระทำกับคุณยังไง ซึ่งตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เอมพูดมาตลอดว่า คนสาธารณะต้องมีสิทธิพูด อย่างอิสระในที่นี้คือพูดแล้วแฟร์ พูดแล้วไม่ถูกกดดันในด้านใดด้านหนึ่งอย่างไม่เป็นธรรม ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่ามีวาทกรรมเกิดขึ้นจากคนในแสงค่อนข้างมาก แต่มันมักจะเป็นวาทกรรมฝั่งเดียว คือตอนนี้เราต้องการให้มันเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝั่ง  เราไม่ได้อยากให้คนคิดเหมือนเราแต่ต้องการให้ความคิดของเรามันมีที่ยืน

CR.รายการWorkpointTODAY