'วัชระ' ยื่นหนังสือกองปราบฯทวงถามคดี 'สกุลธร'
'วัชระ เพชรทอง' อดีตส.ส.ยื่นหนังสือถึงผู้การกองปราบฯทวงถามคืบหน้าคดี "สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ" จ่ายเงินเจ้าหน้าที่รัฐแลกสิทธิเช่าที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และให้พิจารณาแจ้ง บ.เรียลแอลเสทฯเป็นผู้ต้องหาเพิ่มเติม เผยคดี 2 ปีแล้ว ขอให้เร่งทำความจริง
วันนี้ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.ปชป. ยื่นหนังสือถึงพล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. เพื่อสอบถามความคืบหน้าสำนวนคดีที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม สอบสวนกรณีที่นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ให้เงินเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 20 ล้านบาท แลกกับการได้สิทธิเช่าที่ดินระยะยาว บริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ย่านชิดลม มูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยไม่ผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ พร้อมขอให้พิจารณาแจ้งบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เป็นผู้ต้องหาเพิ่มเติม โดยนำสำเนาคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และสำเนาข้อมูลผู้ถือหุ้น มามอบไว้ประกอบการยื่นหนังสือ
นายวัชระ เปิดเผยว่า คดีนี้แม้ตำรวจจะสั่งฟ้อง 2 ผู้ต้องหาที่เป็นนายหน้าและเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และศาลฯมีคำพิพากษา ไปแล้วนั้น แต่ในส่วนคดีของนายสกุลธร พนักงานสอบสวนกองปราบปราม กลับยังไม่ดำเนินการสอบสวนในประเด็นการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่คดีล่วงมาถึง 2 ปีแล้ว ดังนั้น จึงขอให้ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม ดำเนินการกับนายสกุลธร พร้อมขอให้สอบสวนเอาผิดกับบริษัทเรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งปรากฏว่า มีการสั่งจ่ายเช็คเงินสด จำนวน 5 ล้านบาทในนามบริษัทนี้ ให้กับผู้ต้องหาทั้งสองคนนี้ส่วนกรณีที่นายสกุลธร อ้างว่าเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ แต่จนถึงขณะนี้ กลับยังไม่ยอมแจ้งความให้ตำรวจสอบสวนในฐานะผู้เสียหาย
นายวัชระ เปิดเผยอีกว่า อย่างไรก็ตามตนเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม แม้อาจจะล่าช้าไปบ้าง เนื่องจากมีภารกิจจำนวนมาก ประชาชนทั่วประเทศก็ยังหวังพึ่งพากองปราบปรามให้เป็นที่พึ่งของประชาชนตลอดไป จึงขอให้ช่วยเร่งทำความจริงคดีนี้ให้ปรากฏโดยเร็วที่สุด
สำหรับคดีนี้ที่ผ่านมา ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม เคยให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า พนักงานสอบสวนทำสำนวนแยกเป็นสองส่วน โดยสำนวนคดีแรกส่งฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลฯ และศาลมีคำพิพากษา ไปแล้ว ส่วนอีกสำนวนคดี อยู่ระหว่างการสอบสวน และตรวจสอบเส้นทางการเงิน หากพบเข้าข่ายกระทำความผิดฐานเป็นผู้ให้สินบนเจ้าพนักงาน ตำรวจจะดำเนินคดีในส่วนนี้ต่อไป