เรื่องราวดีๆจากสหรัฐอเมริกา ชายอเมริกันที่เคยป่วยโควิด-19 อาการโคม่าร่วมเดือน ติดตามหาชื่อทุกคนที่มีส่วนช่วยให้เขาได้ชีวิตใหม่กลับมา
เจฟฟ์ เกอร์สัน ( Jeff Gerson) ชาวเมืองแมนฮัตตัน วัย 44 ปี ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล NYU Langone Tisch เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ด้วยอาการหายใจติดขัด ไอไม่หยุด และไข้สูงกว่า 39 องศา วันต่อมา ผลตรวจยืนยันติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 อาการวิกฤติ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จากนั้น 1 เดือน ฟื้นจากโคม่า โดยไม่มีความทรงจำเลยว่าหายป่วยอย่างน่าอัศจรรย์ได้อย่างไรจากไวรัสที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันแล้วกว่า 2.6 แสนคน เขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนโชคดีและซาบซึ้งอย่างมาก
“เรื่องของเรื่องคือหากมีใครสักคนที่รอด ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นผม แต่คนเหล่านี้ช่วยชีวิตผมไว้ ผมคิดว่าจำเป็นมากที่จะต้องตามหา รู้ชื่อ และขอบคุณพวกเขา”
ตอนแรก คุณพ่อลูกหนึ่งคิดว่าอยากจัดเลี้ยงใหญ่ แต่เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องผู้ป่วยรพ. จึงตระหนักว่าโลกเปลี่ยนไปขนาดไหนตั้งแต่เขาเข้ารพ. จึงหันมาติดตามค้นหาฮีโร่ทุกคนที่ช่วยให้เขาหายป่วยกลับบ้านได้ หลังพยายามอยู่ราว 5 เดือน ได้รายชื่อมาทั้งหมด 116 คน และเมื่อต้นเดือนที่แล้ว หรือราว 6 เดือนนับจากออกจากรพ. เกอร์สันได้เขียนจดหมายขอบคุณหมอ พยาบาล นักบำบัดโรคทางเดินหายใจ ทั้งยังส่งอีเมล์ไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการของรพ.ให้ส่งต่อถึงคนอื่นๆ โดยขึ้นต้นว่า “หากท่านได้รับจดหมายฉบับนี้ นั่นเป็นเพราะผมรับรู้ว่าท่านมีส่วนช่วยชีวิตของผม”
เกอร์สัน ซึ่งเป็นนักการเงินอาชีพ เริ่มตามหาผู้ช่วยชีวิตจาก 3 ช่องทาง เริ่มตั้งแต่ขณะยังอยู่รพ. ส่องแอปพลิเคชัน MyChart ที่ใช้ติดตามผลตรวจและผลการรักษาคนไข้ ดูชื่อคนที่สั่งตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอื่นๆ กว่า 750 ครั้ง และได้พยาบาลคนหนึ่ง ช่วยหาชื่อให้ได้ 60 คนราว 1 เดือนหลังออกจากรพ.ปลายเดือนเม.ย. กับค้นเอกสารเคลมประกันเพื่อดูว่ามีชื่อใครที่เป็นส่งเรื่องให้
อดีตผู้รอดชีวิตจากโควิด-19 รายนี้ กล่าวว่า การขอบคุณตอนที่ตื่นจากโคม่าเป็นเรื่องยาก เพราะโรงพยาบาลจำกัดจำนวนคนเข้า-ออกห้องไอซียูที่เขาพักรักษาตัวอยู่ นอกจากพยาบาลที่ดูแลโดยตรงแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะพูดขอบคุณคนอื่นเลย และต้องหาหนทางขอบคุณพวกเขาให้ได้
“ผมรอดชีวิต มีความสุขทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา และรู้สึกติดค้างคำขอบคุณอย่างมหาศาลต่อทุกคนที่ผมไม่อาจไปพูดคุยเพราะพวกเขาไม่ได้เข้าไปในห้อง”
เกอร์สัน เล่าว่า พยาบาลใจดีคนหนึ่งตื่นเต้นยินดีที่เขาฟื้นกลับมา และรีบช่วยเขาได้โทรศัพท์หาเพื่อนและครอบครัวที่กำลังเป็นห่วง เพราะไม่มีใครอนุญาตให้เข้าเยี่ยม เขารู้สึกตัวเมื่อ 17 เมษายน ทันได้พูดอวยพรวันเกิดครบรอบ 6 ขวบลูกชาย จากนั้น หนึ่งสัปดาห์ ยังได้เห็นบุคลากรรพ.มาชุมนุมร่วมยินดี พวกเขามีความสุขมากที่ช่วยชีวิตและส่งผู้ป่วยอย่างเขากลับบ้าน
ด้าน นายแพทย์หลุยส์ แองเจิล อายุรแพทย์โรคระบบหายใจ และผู้เชี่ยวชาญรักษาผู้ป่วยวิกฤติ หนึ่งในทีมแพทย์ที่ให้การรักษา กล่าวว่า เกอร์สันป่วยหนักมาก ระบบหายใจล้มเหลวและปอดอักเสบเพราะโควิด ต้องใช้เครื่องเอกโม หรือปอดเทียม เราต้องทำให้เขาหลับลึกจนจำอะไรไม่ได้เลยสองสามสัปดาห์เป็นอย่างน้อย จนปอดค่อยๆเริ่มฟื้นตัว
ตอนที่เกอร์สันไปถึง มีผู้ป่วยโควิด 170 ราย ทั้งหมดต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ในช่วง 3 เดือนต่อมา ผู้ป่วยเหล่านั้น 40% เสียชีวิต
กลางเดือนมีนาคม ซึ่งยังเป็นช่วงโควิด-19 ระบาดไม่นาน ยังไม่มีองค์ความรู้รักษาผู้ป่วยมากนัก แพทย์ใช้เครื่องเอกโมกับเจาะคอช่วยชีวิตเกอร์สัน แม้ยังเป็นวิธีรักษาที่เป็นประเด็นโต้เถียงกันในเวลานั้น เพราะผู้ป่วยอาการหนักมากจนอาจไม่รอดกับวิธีรักษา แต่หากไม่ใช้สองอย่าง เกอร์สันอาจไม่รอด
เมื่อเห็นจดหมายของเกอร์สันแล้วรู้สึกอย่างไร หมอแองเจิล กล่าวว่า พวกเราแค่กำลังทำหน้าที่ ไม่ได้กำลังมองหาคนที่พูดขอบคุณ หรือทำอะไรแบบนี้เป็นพิเศษ ถึงอย่างนั้น หลังจากกรำงานเป็นเวลานาน แทบไม่ได้หยุดหลายสัปดาห์ การได้เห็นถึงความพยายามของเกอร์สันค้นหาชื่อทุกคนเพื่อขอบคุณ เห็นคนคนหนึ่งที่เกือบตายในรพ. หายป่วยอย่างสมบูรณ์ แล้วยังสามารถกลับมาขอบคุณ ย่อมมีความหมายสำหรับพวกเราอย่างมาก แต่หมอแองเจิลย้ำว่า เขาเป็นแค่เฟืองตัวเดียวของเครื่องจักร เครดิตเป็นของทุกคนรวมถึงอาสาสมัครที่มาจากทั่วประเทศ
นับจากเกอร์สันส่งจดหมายขอบคุณบุคลากรการแพทย์ ทำให้ทราบว่าคนที่ช่วยดูแลเขา เพิ่มเป็น 151 คน
แต่มีคนคนหนึ่งที่เกอร์สัน ไม่สามารถขอบคุณได้ นั่นคือคุณหมอ ซิดนีย์ เมห์ล ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ เพราะหมอป่วยหนักและเสียชีวิตจากไวรัส หมอเมห์ล ติดไวรัสและเริ่มรักษาตัว 20 มี.ค. ตอนที่เกอร์สันค้นจากเอกสารเคลมประกัน เห็นชื่อของนายแพทย์ท่านนี้เป็นคนแรก เขาคิดว่า หมอสละชีวิตเพื่อสู้กับโควิดและเขาน่าจะเป็นคนไข้คนท้ายๆของหมอ เกอร์สันติดต่อแสดงความขอบคุณไปยังภรรยาและลูกสาวแทนทางโทรศัพท์และส่งข้อความ กับบริจาคเงินเข้ากองทุนรำลึกแพทย์ท่านนี้ด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง