ข่าว

"จตุพร" ชี้ ตั้งคกก.สมานฉันท์ แค่คำหลอกลวง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"จตุพร" รำลึก 14 ปี นวมทอง ไพรวัลย์ สะท้อนความไม่กลัวเผด็จการ ชี้ ตั้งคกก.สมานฉันท์ ผ่านมากว่า15ปี ไม่มีใครเชื่อ เป็นแค่คำหลอกลวง ซัด สหรัฐไม่ใช่มิตรแท้ของไทย ซ้ำเติมเศรษฐกิจยุคโควิด ปลุกคนไทยสู้ทุนผูกขาด เผด็จการทางเศรษฐกิจ

1 พ.ย. 63  ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองในหัวข้อปลายทางคืออะไร โดยได้กล่าวถึงประธานาธิบดีสหรัฐที่ใช้มาตรการตัดสิทธิพิเศษทางการค้าหรือ GSP ซึ่งมีมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท ว่า ก่อนหน้านี้ก็ได้ตัดสิทธิพิเศษทางการค้ากว่า 4 หมื่นล้านบาทมาแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาตนก็พยายามอธิบายว่า บรรดามหาอำนาจคบยาก สหรัฐอเมริกาก็เป็นประเทศหนึ่งที่คบยาก 

อย่างที่ทราบกันว่า เรามักจะอธิบายถึงสหรัฐอเมริกาคือโลกประชาธิปไตย โลกเสรี หากมีการยึดอำนาจในประเทศไทย ประเทศไทยจะถูกคว่ำบาตร และจะไม่มีการยอมรับการยึดอำนาจนั้น แต่สุดท้ายก็เห็นแล้วว่า ทันทีที่ไปซื้ออาวุธของประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เปิดทำเนียบขาวต้อนรับ ดังนั้นแปลความง่ายๆว่า อุดมคติของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาคือ ผลประโยชน์ของอเมริกาไม่ได้เป็นผลประโยชน์ของประเทศอื่นยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย  
 
อีกทั้ง ตนไม่ทราบว่า ทางการไทยจะตอบโต้ทางการสหรัฐฯอย่างไร และที่ผ่านมาสหรัฐได้ดำเนินการแบบนี้กับหลายประเทศ ดังนั้นภายใต้เศรษฐกิจของประเทศไทยซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก รวมถึงการเปลี่ยนฐานการผลิตจากประเทศไทยไปประเทศรอบข้างที่สหรัฐยังไม่ได้ตัด GSP นั้นยิ่งสะท้อนได้ชัดเจนว่า การตัด GSP นั้น ต้องการทำลายทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่อยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก 

หากสหรัฐอเมริกาเป็นมิตรประเทศจริง ทั้งๆที่รู้ว่า ในวิกฤตการณ์โควิด-19 ไทยได้รับผลกระทบสูงสุดประเทศหนึ่ง การท่องเที่ยวพังพินาศ มีเพียงการค้าบางชนิดเท่านั้นที่ยังคงอยู่อยากยากลำบาก โรงงานทยอยปิด คนตกงานจำนวนมาก ดังนั้นหากสหรัฐเป็นมิตรประเทศจริงๆ จะไม่ทำเช่นนี้ กับประเทศไทยที่กำลังเผชิญอยู่กับความยากลำบาก” 
 

นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนในทางการทูตจะเล่นบทอย่างไรนั้นเราเองก็เห็นเมื่ออเมริกาไปรุกรานบางประเทศ วันนี้เราเห็นการโจมตรีทางเศรษฐกิจ แม้จะไม่ใช่การโจมตีทางอาวุธแบบสงครามแต่เป็นการสะท้อนว่า สหรัฐอเมริกาไม่ใช่มิตรแท้ของประเทศไทย แต่เป็นมิตรที่แสวงหาประโยชน์กับประเทศไทย ไม่ว่าประเทศไทยจะอยู่ในสภาพอย่างไรก็พร้อมที่จะซ้ำเติม 
 
ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองอื่นๆนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลกำลังพยายามที่จะเสนอตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมา ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงที่ก่อนคสช.จะเข้ามา เช่น การสลายการชุมนุมปี 52 ก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุดและปี 2553 ก็มีการตั้งขึ้นมาอีกหลายชุด และหลังจากการยึดอำนาจก็มีการตั้งคณะกรรมการตามรูปแบบต่างๆหลายชุดหลายครั้ง 

แต่บทสรุปสุดท้ายคือไม่มีใครต้องการสร้างความสมานฉันท์อย่างแท้จริง ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีนี้ไม่มีใครเชื่อ คำว่าสมานฉันท์ เป็นเพียงคำหลอกลวง ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้มีโอกาสที่จะสร้างความสมานฉันท์ และความปรองดองขึ้นภายในชาติได้หลายครั้งแต่ไม่เคยดำเนินการจริงๆ ปากบอกว่าปรองดอง แต่การกระทำสวนทางกัน ดังนั้นคณะกรรมการชุดนี้เป็นคณะกรรมการที่ไม่มีประโยชน์มากที่สุด 
 

ทั้งนี้หากมีการแก้ไขปัญหากันจริงๆนั้น ต้องเริ่มต้นที่นายกรัฐมนตรี ต้องเสียสละ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256  ดังนั้นหากนายกรัฐมนตรีกล้าเสียสละออกจากตำแหน่งอย่างที่ชายชาติทหารพึงกระทำ โดยเชื่อว่าหาก 2 ข้อนี้ ได้คลี่คลายก็จะช่วยลดอุณหภูมิการเมือง แต่หากยังปล่อยให้เดินไปเช่นนี้สุดท้ายก็จะจบลงแบบ 6 ตุลาคม 2519 
 
นายจตุพร ยังกล่าวด้วยว่า  88 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ได้ชัดเจนว่า ประเทศไทยจะมีการปกครองแบบใด  จะเป็นนักการเมืองหรือทหารเข้ามาบริหารประเทศ มีเพียงกลุ่มเดียว ที่ได้รับผลประโยชน์ ไม่ว่าใครจะขึ้นมามีอำนาจ นั่นคือกลุ่มทุนผูกขาดทั้งหลาย ซึ่งตนได้เรียกพวกนี้ว่าเป็นเผด็จการทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะมีการปกครองโดยทหารหรือนักการเมือง คนที่ได้ประโยชน์ก็จะมีเพียงกลุ่มเดียว คือกลุ่มนายทุนผูกขาด ที่มีอยู่เพียงไม่กี่รายในประเทศไทย ที่เอารัดเอาเปรียบสูบเลือดคนไทยมายาวนาน 

ดังนั้นตนเชื่อว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องคิดว่าภัยคุกคามจริงๆแล้วคืออะไร และหากคิดจะเปลี่ยนโครงสร้างเปลี่ยนประเทศอย่างแท้จริงนั้น ต้องทำลายโครงสร้างทุนใหญ่ ทั้งทุนพลังงาน ทุนผูกขาดเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลาย หรือแม้แต่ทุนข้ามชาติ สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง 
 
นอกจากนี้นายจตุพร ยังได้กล่าวรำลึกครบรอบ 14 ปีแห่งการจากไปของ นายนวมทอง ไพรวัลย์ ลุงขับรถแท็กซี่พุ่งชนรถถังบริเวนหน้าลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อประท้วงการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ต่อมาวันที่ 31 ตุลาคมปีเดียวกัน ได้ก่อเหตุแขวนคอตัวเองจนเสียชีวิต ริมถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร โดยกล่าวว่า การยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 และผลพวงถัดจากนั้นในสมรภูมิไม่มีใครที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่านวมทอง ไพรวัลย์ 
 
“วีรชนแท็กซี่คนนี้ มีคุณูปการกับสังคมไทย คือความเป็นคนไทยได้พิสูจน์ว่าพร้อมจะตายด้วยอุดมการณ์ และการต่อสู้ได้ และได้แสดงให้ ประจักษ์แก่สายตาแก่นายทหารคนหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งนั้นเลือกที่จะจบชีวิตเพื่อหยุดยั้งและได้แสดงจุดยืน ซึ่งได้สร้างความงดงามให้กับกระบวนการประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ ขับรถแท็กซี่ชนรถถัง เพื่อแสดงให้โลกได้รู้ว่ามีคนไม่กลัวเผด็จการ และความตายที่อยู่ข้างหน้า”

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ