"นายกฯ"สั่งเด้ง"พ.ต.อ.รุ่งโรจน์" รักษาการ ผอ. อคส.เข้ากรุสำนักนายกฯ

17 ก.ย.63 รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 31/2563 เรื่องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมาปฏิบัติหน้าที่ในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ โดยบรรจุและแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 9/2562 เรื่องการยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บางฉบับที่หมดความจำเป็น โดยยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกรอบอัตราชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษเพื่อรองรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานอื่นของรัฐตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด

ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปประเทศ ตลอดจนก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและแก้ไขข้อขัดข้องในการปฏิบัติงานขององค์การคลังสินค้า นายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งให้ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง องค์การคลังสินค้า มาปฏิบัติหน้าที่ในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสำนักนายกรัฐมนตรี โดยบรรจุและแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือน ค่าจ้าง เงินอื่น และสิทธิประโยชน์เดิมที่ได้รับอยู่ จนกว่านายกรัฐมนตรีจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

สำหรับการเด้ง พ.ต.อ. รุ่งโรจน์ ในครั้งนี้  เชื่อว่าเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายถุงมือยางที่อคส. ทำกับบริษัทแห่งหนึ่งมูลค่ากว่า 1.12 แสนล้านบาท ซื้อขายใน 2 ปี จ่ายล่วงหน้า 2,000 ล้านบาท เสี่ยงเกิดการทุจริต หลังบอร์ดองค์การคลังสินค้า(บอร์ด อคส.) ออกมาระบุไม่ทราบใครอนุมัติและอาจเกิดการทุจริต เป็นต้นเหตุให้ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์  พุทธิยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารงานกลาง อคส.รักษาการแทน ผอ.อคส. ไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกรัฐมนตรีในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ด้าน พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ รักษาการ ผอ.อคส.กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือให้ไปปฎิบัติราชการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อได้รับหนังสือพร้อมปฎิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย ทั้งนี้ คาดว่ากรณีให้ไปปฎิบัติราชการที่สำนักนายกฯน่าจะเป็นกรณีการซื้อถุงมือยาง มูลค่า 1.1แสนล้านบาทโดยวางมัดจำสินค้าที่ 2,000 ล้านบาทซึ่งเป็นเรื่องของการลงทุนเพื่อให้องค์กรมีผลกำไรและหลุดจากรัฐวิสาหกิจที่ผลประกอบการขาดทุน

ส่วนกรณีที่มีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง พร้อมเข้าชี้แจงเพราะการปฎิบัติงานเป็นไปอย่างโปร่งใส เพื่อให้ได้ผลกำไรจากการประกอบธุรกิจและเพื่อพยุงฐานะของอสค. ส่วนขอบข่ายอำนาจหน้าที่การอนุมัติตัวเองให้ลงนามในสัญญา เบื้องต้นศึกษาข้อกฎหมายว่าด้วย ม.26 พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. 2498 แล้วสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารหรือบอร์ดอคส.

“ผมพร้อมชี้แจงทุกข้อกล่าวหาเพราะเราทำด้วยความตั้งใจดี และมีข้อกฎหมายรองรับชัดเจน ส่วนการไปทำงานที่สำนักนายกฯไม่หนักใจเพราะโดยส่วนตัวยังได้รับประโยชน์เหมือนเดิมและเป็นข้อดีที่จะได้ให้ทุกอย่างโปร่งใส”