ข่าว

จ่านิว โผล่ร่วมม็อบปลดแอก แหวกหา คนหาย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"จ่านิว" โผล่ร่วมม็อบปลดแอก แหวกหา คนหาย - แฉเคยเกือบโดนอุ้ม จี้ผลักดัน พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและการอุ้มหาย ด้าน"พี่สาววันเฉลิม" ขึ้นเวทีด้วย

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่อนุสรณ์สถาน14 ตุลา(แยกคอกวัว)นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว พร้อมด้วย
กลุ่มศิลปินปลดแอก อาทิ กงลี่ ,แป๊ะบางสนาน,อเล็ก วงกะลานีเชีย  ร่วมจัดกิจกรรม กวี ดนตรี ปลดแอก แหวกหาคนหาย เพื่อร่วมรำลึกบุคคลสูญหายจากเหตุการณ์ทางการเมือง โดยภายในงานมีศิลปินผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาร้องเพลง อ่านบทกวี สลับกับมีการปราศรัยเป็นบางช่วง

 นอกจากนี้ยังมีน.ส.สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยซึ่งถูกอุ้มหายในประเทศกัมพูชาเดินทางมาร่วมด้วย

สำหรับบรรยากาศมีกลุ่มผู้ชุมนุมปักหลักฟังปราศรัยและกิจกรรม โดยมีกำลังตำรวจจาก สน.ชนะสงคราม คอยดูแลความปลอดภัยให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม

โดยนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์  หรือ“จ่านิว” ได้ร่วมขึ้นปราศรัย โดยนายสิรวิชญ์ กล่าวถึงผู้ที่สูญหายจากเหตุการณ์ทางการเมืองว่า การทำรัฐประหารในปี 2490 ถือเป็นแม่แบบของการทำรัฐประหารในประเทศไทย จนถึงการทำรัฐประหารในปี 2557 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นปฐมบทแห่งการบังคับสูญหายอย่างแท้จริง หลังจากการทำรัฐประหารในปี 2490 การบังคับสูญหายก็เริ่มเกิดขึ้น โดยเกิดกับนักการเมืองฝ่ายคณะราษฎร บางคนก็สูญหาย บางคนก็ถูกนำตัวขึ้นรถไปยิงกลางทาง แล้วก็อ้างว่ามีโจรมลายูบุกมายิง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับในปัจจุบัน พอมีการทำรัฐประหารก็จะมีการลอบสังหาร

 อย่างเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 บางคนมาม็อบกับเพื่อน แต่ไม่ได้กลับไปด้วยกัน ซึ่งในปัจจุบันก็ยังเป็นปริศนาว่าคนเหล่านี้หายไปไหน สุดท้ายคนที่สั่งการในวันนั้นยังไม่ได้รับความผิด มันเริ่มเป็นแบบแผนการปฏิบัติของชนชั้นนำไทยหรือไม่ ในการที่จะจัดการกับคนเห็นต่างทางการเมือง เราเรียกร้องมาตลอดว่าเราต้องการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ทางการเมือง ยุคสมัยที่ทุกคนจะสามารถแสดงออกทางความคิดเห็นได้อย่างปลอดภัย ทุกคนต้องการที่จะมีเสรีภาพในการพูด รัฐต้องแสดงให้เห็นว่าคุณเคารพการเห็นต่างและการแสดงออกของประชาชนทุกคน ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม 

นายสิรวิชญ์ กล่าวอีกว่า ชนชั้นนำไทยยังมีอะไรที่ยังซ่อนลึกเร้นลับ และไม่ต้องการให้คนไปเขย่าประตูเปิดออกมา เพราะท้ายที่สุดคนสูญหายนั้นก็คือคนที่พยายามขึ้นไปเขย่ากลอนประตูแห่งความลับของชนชั้นนำไทยใช่หรือไม่ เราเรียกร้องให้ทุกคนทำอะไรกันในที่สว่าง ให้เปิดเผย ตรวจสอบได้ คนเหล่านี้ต้องการให้สังคมเราที่จะให้สังคมเราเปิดเผยและให้เห็นด้วยกันว่า สิ่งที่ทุกคนทำโดยเฉพาะผู้มีอำนาจทำอะไรกันบ้าง เพราะท้ายที่สุดเงินภาษีที่ประชาชนจ่าย บางครั้งกลายเป็นว่าสิ่งเหล่านี้มันย้อนกลับมาทำร้ายประชาชนอย่างนั้นหรือ

นายสิรวิชญ์ กล่าวต่อว่า คนที่สูญหายนับตั้งแต่ปี 2490-2563 ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าอยู่ไหน คนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่ประการใด หรือท้ายที่สุดรัฐต้องการสร้างความกลัวกลายๆให้กับประชาชน ต้องการให้รู้กลาย ๆว่าอยากมีชีวิตรอดต้องไม่เห็นต่าง ต้องก้มหัวสยบยอมเท่านั้นแล้วเราจะปลอดภัย เราจะพูดกับชาวบ้านได้อย่างไรว่าเป็นแผ่นดินประชาธิปไตย เราจะบอกได้อย่างไรว่าเราคือแผ่นดินทองแผ่นดินธรรม กลายเป็นว่าคนที่มีอำนาจไม่มีจิตใจที่จะเอื้อเฟื้อที่จะรับฟังความเห็นต่างจากคนเหล่านี้ ท้ายที่สุดคนเหล่านี้ไม่มีกระทั่งร่างไร้วิญญาณไม่มีเถ้ากระดูกที่จะให้ญาติพี่น้อง ไม่มีกระทั่งลมหายใจสุดท้ายที่คนจะรับรู้ว่าเขาจากไป เช่นกรณีทนายสมชาย นีละไพจิตรศาลยกฟ้องว่าผู้ที่จับไม่ใช่คนกระทำเท่ากับถูกทรมานบังคับให้สูญหาย ยังถูกบังคับไม่ให้ความยุติธรรมอีกต่างหาก นี่คือความอำมหิตที่ทับซ้อนมาตลอด

“ในยุคนี้ประชาชนไม่หลงกลแล้ว ความกลัวเราอาจจะมี มนุษย์ต้องการความมั่นคง ต้องการความอยู่รอด วันนี้คนออกมาพูดถึงเรื่องคนสูญหาย สิ่งที่ทุกคนกำลังจี้จุดสำคัญของชนชั้นนำนั้น ว่าคนเหล่านี้หายไปได้อย่างไร และจะทำอย่างไรไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นแม่กระทั่งหลักประกันใดๆ ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่กระทำการอุ้มหายทรมานประชาชน ทั้งที่รู้ว่าคนที่เกี่ยวข้องกับการอุ้มหายเกี่ยวข้องกับรัฐผมกล้ายืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ตาสีตาสาไม่มีทางเพราะวันรุ่งขึ้นโดนจับแน่ แต่ถ้าหายไปอย่างมีเงื่อนงำเป็นการกระทำจากคนที่มีอำนาจรัฐทั้งสิ้น หรือจะไม่ปฏิเสธ ทหารเราเรียกร้องว่าจะต้องเป็นรั้วปกป้องประเทศ แต่เราเห็นหลายครั้งแล้วว่าทหารก็ย้อนกลับมาทำร้ายประชาชนทางอ้อม ตำรวจเองก็ต้องให้ความกระจ่างในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ว่าเหตุใดคนเหล่านี้ถึงสูญหายและใครกระทำ ถ้าเจ้าหน้าที่ความมั่นคงให้ความกระจ่างไม่ได้ ให้สันนิษฐานว่าตายเพราะผู้มีอำนาจทั้งสิ้น อยากให้ผลักดัน พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและการอุ้มหาย ตนก็เกือบโดนเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2559 ถ้าเกิดไม่มีการรับรู้ ตนอาจไม่ได้มายืนพูดตรงนี้ กรณีล่าสุดของต้าร์-วันเฉลิม ถ้าเขาไม่บอก เรามีหน้าที่ช่วยกันกดดันให้บอกมา ” นายสิรวิชญ์ กล่าว

ทั้งนี้ในช่วงท้ายของกิจกรรม นายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และแกนนำคณะปลดแอก ได้ขึ้นเวทีร่วมกิจกรรมโดยบอกว่าวันนี้มาเพื่อร้องเพลง ไม่ได้มาปราศรัยแต่อย่างใด ก่อนเจ้าตัวจะหยิบไมค์ร้องเพลงหมอลำ สร้างความครึกครื้นให้แก่ผู้ร่วมกิจกรรมก่อนที่จะยุติกิจกรรม 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ