"นิพิฏฐ์" สอนหลาน เห็นต่างได้แต่อย่าเหยียดหยามใคร

หลังจากกระแสการเคลื่อนไหวของ นักเรียน นักศึกษา ในรั้วสถาบันการศึกษา แสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ชู 3 นิ้ว ผูกริบบิ้นข่าว ยังแพร่ขยายวงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางข้อกังขาของฝ่ายเห็นต่าง หรือผู้ใหญ่ ที่เข้ามาตั้งคำถามว่า เด็กนักเรียน เค้าเรียกร้องจากใจจริง มีความรู้ความเข้าใจสถานการณ์ หรือเป็นแฟชั่น เฮตามเพื่อน หรือกระแสถ้าไม่ร่วม จะถูกบูลลี่ เพื่อนไม่คบ

ล่าสุดผู้สื่อข่าว รายงานว่า  นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ การเปิดพื้นที่ให้กับเด็กได้แสดงออก แต่อยู่บนพื้นที่ฐานที่เด็กต้องรู้ เข้าใจ ในเรื่องนั้นๆด้วย โดยอยู่ในประเด็นเรื่อง  “ลุงคุยกับหลาน”

ลุงคุยกับหลาน

-แม่บ้านผมที่กรุงเทพฯเป็นญาติๆกัน เขามาทำความสะอาดบ้านตอนเช้า ซื้อกับข้าวมาให้ เอาเสื้อผ้าไปซัก ลูกเขาเรียนมัธยมแล้ว ผมเห็นมาตั้งแต่เล็กๆ เดือดร้อนอะไรผมก็ดูแลรักเหมือนลูก เป็นเด็กดี เรียนดี เรียบร้อย คิดว่าเวลาเขาเรียนมหาวิทยาลัยก็ต้องส่งเขาเรียนล่ะ

-เช้านี้ แม่บ้านมาบอกว่า เมื่อวานลูกบอกว่าตอนเข้าแถวที่โรงเรียนเขาชู 3 นิ้วหน้าเสาธง วันนี้ลูกผูกโบว์สีขาวไปโรงเรียน แม่เขาถามผมว่า จะแก้อย่างไร ผมยิ้มแล้วตอบว่า เอ้า!! ก็ให้ลูกทำไปสิ แม่บอกว่า เขาถามลูกว่า 3 นิ้วนั้นคืออะไร ลูกก็ตอบแต่ดูเหมือนลูกก็ยังไม่เข้าใจหรอก ผมตอบว่า ไม่เป็นไร เขาคุยกันกับเพื่อนๆ เดี๋ยวเขาหาคำตอบได้เอง ผมหัวเราะแล้วบอกว่า ต่อไปเขาอาจเพิ่มเป็น 5 นิ้ว หรือลดลงเหลือ 2 นิ้วก็ได้ ไม่เป็นไร แม่บ้านบอกว่า ลูกบอกว่า อย่าบอกลุงนะ(หมายถึงอย่ามาบอกผม) ผมก็ว่าทำไมล่ะ แม่บ้านบอกว่า ลูกกลัวลุงจะโกรธ ผมบอกว่า ฝากบอกลูกด้วยว่าลุงไม่เห็นต้องโกรธอะไร ถ้าโรงเรียนอนุญาตลุงจะไปยืนข้างหลังแล้วชู 3 นิ้วหน้าเสาธงด้วย สนุกจะตายไป แม่บ้านถามว่า จะพูดกับลูกอย่างไร ผมบอกว่า คุยกับลูก 2-3 ข้อ

1.ทำอะไรก็ตามลูกต้องปลอดภัยทั้งกายภาพและทางกฎหมายเพราะลูกยังเป็นเด็ก ลูกคือดวงใจของพ่อแม่

2.เมื่อลูกอ้างประชาธิปไตย ลูกต้องคุยและแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนที่เห็นต่างกับลูกได้ ลูกต้องทนต่อความเห็นต่าง

3.ลูกแสดงความเห็นได้ แต่อย่าพูดดูหมิ่น หรือเหยียดหยามใคร ประชาธิปไตยเขาอนุญาตให้แสดงความเห็น แต่ไม่อนุญาตให้ดูหมิ่น หรือเหยียดหยาม

4.ลูกต้องยอมรับผลการกระทำตามความเชื่อของลูกได้(ข้อนี้ยากหน่อย ยังไม่ต้องคุยก่อนก็ได้)

-ลองให้ลูกไปคิดดู แล้วไม่เข้าใจข้อไหน ค่อยมาแลกเปลี่ยนกับลุง