
สุขนิยม...
คติสุขนิยมคือการมองโลกในแง่ดี เป็นทัศนคติที่มองโลกและสิ่งต่างๆ อย่างมีความหวังอันจะทำให้เกิดรื่นรมย์ใจ และมีความสุข
ปรัชญาสุนิยม หรือว่าสุขนิยม มีมานับแต่โบราณกาลแล้ว ที่เชื่อว่าความสุขนั้นมีค่าในตัวเองยิ่งกว่า องค์ความรู้ใดๆ เสียอีก เช่นว่า การได้เห็นสิ่งสวยงาม การได้ยินเสียงอันไพเราะ ได้กลิ่นหอมสดชื่น และตลอดจนการได้ลิ้มชิมรสอาหารอร่อยลิ้น เหล่านี้ล้วนทำให้เกิดความสุขขึ้นในทางใจกายทั้งสิ้น
การหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดหรือว่ามีความทุกข์ให้น้อยที่สุด ถือเป็นการมุ่งแสวงหาความสุขตามคตินิยมนี้หรือว่าปรัชญาสายนี้
อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่ดีหรือว่าความสุขที่ดีนั้น ก็ควรจะต้องอยู่นานเป็นความสุขในระยะยาว ซึ่งเป็นการมองการณ์ไกล แนวคิดนี้จึงเห็นว่า ความสุขที่แท้ควรจะเป็นความสุขที่เรียบง่าย รอบคอบ และไม่ควร จะเป็นความสุขที่เกิดจากสิ่งหายากและมีราคาแพงเกินไป
ความสุขที่แท้จึงควรจะมีอยู่ทั้งความสุขส่วนตัวและความสุขส่วนรวม
ขึ้นปีใหม่มาแล้วผมได้ยินแต่เรื่องร้าย ว่าบ้านเมืองปีนี้จะมีแต่ความทุกข์โศกแสนสาหัสที่รออยู่ เพราะเป็นปีเสือดุบ้าคลั่งอาละวาด จะพบแต่เรื่องสุดหฤโหดและมหาวิปโยคในทางใดทางหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยชะตาบ้านเมืองนั้นอยู่ในเกณฑ์คราวเคราะห์
เช่นว่า ในทางการเมืองอาจเกิดความขัดแย้งกันจนถึงขั้นจลาจลและเป็นสงครามกลางเมือง มีผู้คนล้มตาย อย่างนี้ เป็นต้น
ต้องนับว่าเป็นทัศนคติที่มองโลกและชีวิตในแง่ร้ายอย่างตรงกันข้ามสุดโต่งกับพวกสุขนิยมดังที่กล่าว ทั้งที่ทัศนคตินี้ก็ยังเป็นเพียงแค่ “มโนภาพ” ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง
ดังนั้นปีใหม่นี้ผมก็อยากจะแนะให้คนไทยเราลองใช้ทัศนคติแบบพวกสุขนิยมมองดูบ้านเมืองกันบ้าง จะได้ไม่เกิดท้อแท้หรือว่าสิ้นหวังกันไปก่อน
เป็นต้นว่า ในทางการเมืองการประท้วงต่างๆ อาจผ่านไปโดยราบรื่น หรือถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงก็จะเป็นไปโดยกฎกติกาของประชาธิปไตย ไม่มีเลือดตกยางออก และไม่มีใครตาย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย ไหนกลุ่มใด หรือว่าสีอะไรก็ตาม
คิดและมองได้อย่างนี้ก็จะสบายใจขึ้นครับ
ขอส่งท้ายด้วยคำกลอน “มองแต่แง่ดีเถิด” ของท่านพุทธทาสภิกขุที่มีผู้นำมาทำเป็นปฏิทินปี 2553 นี้ ที่มีความตอนหนึ่งดังนี้ว่า
เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์แก่โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย...
อะไรต่างๆ นั้น อาจเป็นเพียงแค่ “เขียนเสือให้วัวกลัว” ก็ได้ครับ อย่าเพิ่งไปทุกข์ร้อนใจ