คอตกเข้าซังเต รวบโจรพ่อลูกอ่อนตั้งแก๊งลักรถจยย.

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563 พันตำรวจเอก รุ่งสกุล บุญกระพือ ผู้กำกับการตำรวจนครบาลลาดพร้าว พันตำรวจโท สถาปนา จุณณวัตต์ รองผู้กำกับการตำรวจนครบาลลาดพร้าว พันตำรวจตรี อัสนี ตระกูลฐิติทรัพย์ และ พันตำรวจตรี ชาติชาย ดำรัสการ สารวัตรสืบสวนตำรวจนครบาลลาดพร้าว ร่วมกันนำกำลังจับกุม นายชัยวัฒน์ จันทร์เจริญ หรือมาร์ค อายุ 21 ปี และนายชัยชาญ กำไมล์ หรือรุ่ง อายุ 20 ปี ผู้ต้องหาตระเวนลักรถจักรยานยนต์ตามอพาร์ทเม้นท์ พร้อมของกลางอุปกรณ์งัดแงะ และกุญแจรถจักรยานยนต์จำนวนหนึ่ง โดยจับกุมที่บริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ถนนหทัยราษฎร์ แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจากตำรวจนครบาลลาดพร้าว ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายว่ารถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นเอ็มสแลช สีขาวดำ ทะเบียน 9กม1104 กรุงเทพมหานคร ได้หายไปจากลานจอดรถอพาร์ทเม้นท์ ในซอยนวมินทร์69 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ จากนั้นตำรวจฝ่ายสืบสวนนครบาลลาดพร้าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบรูปพรรณคนร้ายอย่างชัดเจน กระทั่งสืบทราบว่าคนร้ายรายนี้คือนายชัยชาญ หรือรุ่ง พักอาศัยอยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง ถนนหทัยราฎร์ แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ จึงนำกำลังไปตรวจสอบ จนสามารถจับกุมตัวไว้ได้พร้อมของกลาง ตลอดจนขยายผลจับกุมนายชัยวัฒน์ หรือมาร์ค ผู้ร่วมก่อเหตุไว้ได้ด้วย ก่อนควบคุมตัวสอบสวน ที่สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว

สอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองคนให้การรับสารภาพว่า ทั้งสองไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง ตลอดจนติดยาเสพติด หนำซ้ำนายชัยชาญ หรือรุ่ง มีลูกที่เพิ่งคลอดได้เพียง 6 เดือน ทำให้มีความต้องการใช้เงิน จึงศึกษาวิชาการโจรกรรมรถจักรยานยนต์จากเว็บไซต์ยูทูบ จึงทำการดัดแปลงอุปกรณ์งัดแงะ และฝึกจนช่ำชอง จากนั้นจังได้พากันตระเวนไปตามหอพัก อพาร์ทเม้นท์ที่มีลานจอดรถจักรยานยนต์จอดเรียงกันหลายๆคัน และไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา

โดยนายชัยชาญ หรือรุ่ง จะตีเนียนเป็นเจ้าของรถเข้าไปลงมือก่อเหตุ โดยมีนายชัยวัฒน์ หรือมาร์ค เป็นคนดูต้นทาง และมักจะเลือกรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นเอ็มที 15 และรุ่นเอ็มสแลช เป็นหลัก เนื่องจากเป็นรุ่นที่นิยมในท้องตลาด ก่อนจะนำไปขายตกราคาคันละ 30,000 บาทเท่านั้น และนำเงินที่ได้ไปซื้อยามาเสพ ทั้งนี้คนร้ายทั้งสองรายนี้ยังอาศัยช่วงที่ทางรัฐบาลประกาศใช้กฎหมายเคอร์ฟิว ทำให้ต้องเลือกช่วงเวลาลงมือก่อเหตุให้แล้วเสร็จก่อนช่วงเวลาหวงห้ามออกนอกเคหสถาน เพราะผู้เสียหายจะไม่ทราบว่าทรัพย์สินได้หายไป กว่าจะมาทราบก็พ้นช่วงเวลานั้นไปนานแล้ว อีกทั้งยังหลบเลี่ยงการตรวจค้นของทางตำรวจอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อทำการขยายผลผู้ต้องหายอมรับว่าลงมือก่อเหตุในพื้นที่ สน.ลาดพร้าว 4 ครั้ง สน.บางเขน 1 ครั้ง และ สน.ทุ่งสองห้อง 1 ครั้ง ทั้งนี้หากมีผู้เสียหายรายใดถูกคนร้ายกลุ่มนี้ลงมือก่อเหตุ สามารถตรวจสอบได้ที่ สน.ลาดพร้าว เบื้องต้นแจ้งข้อหา "ร่วมกันลักทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ หรือรับของโจร" ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป