ข่าว

"หมอชำนาญ" ชี้ ผลงาน "นายกฯ ลุงตู่" สกัดโควิด -19 ที่ทำมาน่าจะเสียของ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

นพ.ชำนาญ ภู่เอี่ยม ชี้ พฤติกรรมคนไทยในช่วงมาตรการผ่อนคลายน่าเป็นห่วง ยกคน 3 ประเภท ชู พลังเงียบมากที่สุดของสังคมนำประเทศไทยชนะโควิด-19

 

               6 พฤษภาคม 2563  นพ.ชำนาญ ภู่เอี่ยม อดีตหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Chamnan Bhu-eiam แสดงความคิดเห็นต่อพฤติกรรมคนไทยในช่วงมาตรการผ่อนคลายนี้ "ผลงานที่ทำมา น่าจะเสียของ" ชี้ การใช้พลังมวลชนเท่านั้นที่จะสกัดกั้นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) ได้

อ่านข่าว - กรมอนามัยเช็กลิสต์สนามกอล์ฟปฏิบัติตามคำแนะนำลดแพร่ระบาดไวรัสโรคโควิด-19 (มีคลิป)

 

 

 

               เห็นพฤติกรรมคนไทยในช่วงมาตรการผ่อนคลายนี้ ถ้าบอกตรงๆ แบบเกรงใจก็บอกว่า "น่าเป็นห่วง" ถ้าบอกแบบไม่เกรงใจไม่กลัวคนด่าก็บอกว่า "ไม่น่าดูเลย" ถ้าบอกแบบสุภาพ แบบกระซิบข้างหู นายกฯ ลุงตู่ ก็บอกว่า "ผลงานที่ทำมา น่าจะเสียของ"

               "เห็นภาพผู้คนแย่งกันซื้อเหล้า ราวกับจะฆ่ากันตาย เห็นภาพคนแย่งกันขึ้นรถไฟฯ ราวกับจะไปสวรรค์ Social distancing คือ การวิ่งแข่งแย่งกัน มีแต่หน้ากากเท่านั้น ที่พอมีกันติดตัว" (Chamnan._)

               แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปจริงๆ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมด ร้านค้า และ รถไฟฟ้า จะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เพราะถ้ามีการเตรียมการที่ดี มีระบบที่ดี มีเจ้าหน้าที่มาร่วมจัดระเบียบ ผมเชื่อ 100% ว่ามันจะไม่วุ่นวายขนาดนั้น เพราะผมพอมีประสบการณ์กับตัวเองมาบ้าง ประสบการณ์อย่างไรผมจะเล่าให้ฟัง

 

 

 

               เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมไปเที่ยวสวนจตุจักร สมัยก่อนเขาอนุญาตให้นำรถเข้าไปในสวนได้ ช่วงตอนเย็นสังเกตว่ามีรถยนต์ขาออกติดมาก ผมเลยเดินเข้าไปดู ปรากฏว่า ที่ 4 แยกแห่งหนึ่ง มีรถยนต์แถวหน้า 4 คัน หันหน้ายันกันอยู่ไม่มีใครยอมใคร และเวลานั้นไม่มีเจ้าหน้าที่มาดูแล

               ผมรออยู่สักครู่เห็นไม่มีอะไรดีขึ้น จึงเดินไปทำหน้าที่จราจรโบกรถ โดยใช้การสลับกันผ่าน 4 แยก ครั้งละ 5 คัน ตอนแรกพวกเขาดูไม่เชื่อผม เพราะการแต่งกายไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ แต่หลังจากผมได้อธิบายให้รถแถวหน้าฟัง เขาก็ยอมปฏิบัติตามโดยดี และในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การจราจรก็คล่องตัว แถมรถยนต์คันหลังๆ บางคันกล่าวขอบคุณผมด้วย กลับบ้านมีความสุขมาก แต่เสียดายอย่างเดียวในสมัยนั้นโลกออนไลน์ยังไม่เฟื่องฟู ป่านนี้ผมคงถูกถ่ายคลิปลงยูทูบในฐานะพลเมืองดีไปแล้ว (จะเห็นว่าบางครั้ง ในสังคมไทยยังจำเป็นต้องมีคนจัดการ)

 

 

 

               ในสังคมทุกสังคม จะมีคนอยู่ 3 ประเภท คือ 1. ไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น 2. คอยดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น 3. ชอบทำอะไรให้เกิดขึ้น

               ประเภทแรก จะเป็นกลุ่มที่เข้าถึงยาก อาจเป็นเพราะระดับการศึกษา เศรษฐานะ และนิสัยส่วนตัว

               ประเภทที่ 2 "คอยดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น" คือ "พลังเงียบ" ที่พร้อมจะจับกระแส ขับเคลื่อนตาม ถ้าพวกเขาเห็นว่าดี มีเหตุมีผล น่าเชื่อถือ น่าศรัทธา มีโอกาสสำเร็จ หรือ มีโอกาสชนะ พวกเขาจะเอาด้วย แต่ขณะเดียวกัน บางครั้งกระแสที่ไม่ดี เขาก็จะเอาด้วย เช่น เห็นผู้คนได้เงินเยียวยา ทั้งๆ ที่ตนเองไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ ก็จะเอาด้วย เห็นคนอื่นเอาเปรียบแซงคิว ก็จะแซงด้วย ซึ่งกำลังเป็นปัญหาด้านวินัยอยู่ในขณะนี้

 

 

 

               ประเภทที่ 3 "ชอบทำอะไรให้เกิดขึ้น" คือ ประเภทที่ไม่ดูดาย มีน้ำใจรับผิดชอบต่อสังคม จะมีนิสัยอยู่เฉยไม่ได้ถ้าเห็นอะไรไม่ดี หรือมีอะไรที่จะช่วยสังคมได้ ในปัจจุบันนี้ กลุ่มนี้นอกจากมีน้ำใจแล้วต้องมีความกล้า เพราะการทำความดีในแง่ของเขา อาจจะเป็นความไม่ดีในแง่ของคนอื่น (ขอบอกว่า สังคมไทยขณะนี้การทำความดีดูเหมือนจะยากกว่าทำความไม่ดี)

               เมื่อฟังอย่างนี้ ดูเหมือนบุคคลสำคัญที่จะเปลี่ยนสังคมได้ คือ บุคคลกลุ่มที่ 3 แต่ถ้าเราวิเคราะห์สังคมให้ลึกลงไปจริงๆ บุคคลสำคัญของสังคมที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ในขณะนี้ ไม่ใช่คนกลุ่มที่ 3 ที่ "ชอบทำอะไรให้เกิดขึ้น" หากแต่เป็นคนกลุ่มที่สอง ที่ "คอยดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น" เพราะพวกเขา คือ "คนส่วนใหญ่ของสังคม" พวกเขา คือ พลังเงียบ ที่มีจำนวนมากที่สุดของสังคม สามารถชี้เป็นชี้ตายของสังคมได้

 

 

 

               ยกตัวอย่าง การแก้ปัญหา โควิด-19 ขณะนี้ กล้าบอกได้เลยว่า เราไม่สามารถชนะโควิดได้เลย ถ้าคนส่วนใหญ่ของชาติไม่มีวินัย ลำพังคนกลุ่มที่ 3 ต่อให้มีวินัยโดยเคร่งครัดพร้อมเพรียงกัน ก็สู้โควิดไม่ได้ แต่ถ้าคนกลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของสังคมเอาด้วย โดยถ้าพวกเขารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องมีวินัยโดยพร้อมเพรียงกัน การชนะ โควิด-19 ก็จะไม่ใช่แค่วาทกรรมอีกต่อไป

               กล้าพูดได้ว่า การชนะ โควิด-19 โดยไม่ต้องรอวัคซีนหรือรอยาจะเกิดขึ้นได้ ถ้า ผู้นำ และ กลุ่มแกนนำของประเทศ สามารถเรียกความศรัทธา ความเชื่อมั่น จากพลังมวลชนกลุ่มใหญ่ของประเทศได้ และไม่จำเป็นต้องได้กำลังมาหมดสิ้น เพราะส่วนที่เหลือที่วุ่นวายวินัยหย่อนอยู่ขณะนี้ จะเกาะกระแส ปรับตัวตามเองในไม่ช้า เรื่องปากท้องจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะจะคลายล็อกเมื่อไรก็ได้ ถ้ามีวินัยกันทุกคน

               "การใช้พลังมวลชนเท่านั้นที่จะสกัดกั้นโควิดได้"

 

 

 

หมอชำนาญ ชี้ ผลงาน นายกฯ ลุงตู่ สกัดโควิด -19 ที่ทำมาน่าจะเสียของ

 

 

 

ภาพ : Chamnan Bhu-eiam

 

 

 

 

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ