ข่าว

"นพ.ประสิทธิ์" ชี้ไทยพร้อมเข้าสู่โหมดคลาย"ล็อกดาวน์"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช วิเคราะห์สถานการณ์โควิด19 ในไทย ย้ำช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เข้าสู่โหมดผ่อนผันมาตรการต่างๆ ขอประชาชนยังคงร่วมมือรักษาระยะห่าง สวมหน้ากาก ล้างมือ อยู่เสมอ พร้อมให้ทำใจเราอาจต้องกลับมาควบคุมสถานการณ์อีกครั้ง  

 

                    27 เม.ย.2563  ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล วิเคราะห์สถานการณ์ "การระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19)” ผ่านทางเพจ Mahidol Channel และ Siriraj Channel ว่า นับจากวันที่ผู้ติดเชื้อถึง 100 รายทั่วโลก เช่น ประเทศเกาหลีใต้ จากที่ดูเหมือนเอาโควิดไม่อยู่ ถึงวันนี้สามารถจัดการโควิดได้ดีมาก เช่นเดียวกับประเทศไทยเราเริ่มต้นดูน่ากลัว แต่เมื่อคนไทยช่วยกันสามารถเกาะกลุ่มในประเทศควบคุมได้  ซึ่งประเทศไทยทำได้ดี มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ถึงสามพันคน  อัตราการเสียชีวิต 1.8% และมีจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหาย เหลือที่รักษาตัวในโรงพยาบาล 300 กว่าราย ถือว่า บ้านเราทำได้ดีมาก
         

อ่านข่าว-อัพเดทสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก วันที่ 27 เมษายน 2563

 

          ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ ได้ยกตัวอย่างประเทศแคนาดา สามารถควบคุมโควิด-19 ได้ดี ด้วยการนำยุทธศาสตร์  The Hammer&The Dance มาใช้  ซึ่งประเทศไทยเรากำลังเข้าสู่โหมดของการฟ้อนรำ ทันทีที่มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ จะมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น  แต่การติดเชื้อจะค่อยๆ เพิ่มจะไม่เหมือนช่วงแรก แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เราต้องพร้อมกลับเข้าสู่โหมดการควบคุมใหม่สลับกันไปแบบนี้ 
        

          ขณะนี้ไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากโหมดทุบด้วยค้อน ไปเป็นโหมดการฟ้อนรำคือ จะเริ่มมีการผ่อนปรนให้ประชาชนจากบ้านไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น เช่น การเปิดห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ รวมไปถึงสวนสาธารณะ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลของสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ส่วนสถานที่ที่ยังต้องปิดต่อไปคือ พื้นที่แออัดที่มีการรวมตัวของคนหมู่มาก หรือมีการตะโกนใส่กัน นอกจากนี้ยังต้องเข้มงวดกับบุคคลที่จะเดินทางเข้าประเทศ และยังไม่อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามา 
        

          สำหรับแนวทางการปฏิบัติตัวหลังจากมีการผ่อนปรนคือ 1.การทำความสะอาดพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด 2.การค้นหาและติดตามบุคคลเสี่ยงทั้งผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยใช้แอพพลิเคชั่น 3.การเพิ่มมาตรการตรวจคัดกรองในบุคคลกลุ่มเสี่ยง 4.ประชาชนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน 5.หมั่นล้างมือบ่อยๆ และ 6.รักษาระยะห่างทางสังคม ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถือว่ามีเป็นความจำเป็น และผ่อนผันไม่ได้ ส่วนบุคคลที่ควรงดออกจากบ้าน ยังเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว 
       

          นพ.ประสิทธิ์ ย้ำว่า ยุทธศาสตร์นี้จะสำเร็จหรือไม่ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน ไม่ใช่แค่ภาครัฐ หรือหน่วยงานด้านสาธารณสุข ซึ่งหลังมีการผ่อนปรนจะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อาจทำให้อัตราผู้ติดเชื้อใหม่ในประเทศกลับมาเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่มากเท่าช่วงแรก ในขณะที่หลายประเทศเคยมีบทเรียนจากการผ่อนผันเร็วเกินไป จนทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ส่วนของไทยควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และหากสถานการณ์แย่ลงจะต้องกลับมาควบคุมอย่างเข้มงวดอีกครั้ง โดยจะมีการประเมินผลทุกสองสัปดาห์


 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ