ข่าว

รอดหมด"กกต."ยกคำร้องปมหัวคะแนนจ่ายเงินซื้อเสียง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"สุภรณ์" รอดหมด กกต.ยกคำร้องปมให้หัวคะแนนจ่ายเงินผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ร้องตำรวจ-กกต.ได้เงินซื้อเสียงจากคู่แข่งอ้างพยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่ารู้เห็นสนับสนุนการกระทำของลูกน้องแม้คนรับเงินยันเป็นแผนลูกน้องสุภรณ์หวังกลั่นแกล้งให้คู่แข่งถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

 


          22 เม.ย.2563 เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้เผยแพร่คำวินิจฉัยยกคำร้องนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ผู้สมัครส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 10 จ.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ จำนวน 2 คำวินิจฉัย รวม 3 ข้อกล่าวหา คือกรณีถูกกล่าวหาว่าวันที่ 24  มี.ค.2562 ได้นัดหมายผู้มีสิทธิเลือกตั้ง  4 คนไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจครบุรี จ.นครราชสีมา ว่าได้รับเงินจากตัวแทนหรือหัวคะแนนของผู้ร้องจำนวนคนละ 500 บาท และได้ยื่นคำร้องเรื่องดังกล่าวต่อกกต.เป็นการใส่ร้ายผู้ร้องด้วยความเท็จ แต่เนื่องจากการกระทำตามคำร้องเกิดขึ้นภายหลังการลงคะแนนเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 มาตรา 73 วรรค 1 (5)  

 

 

          จากกรณีถูกกล่าวหาว่า วันที่ 24 มี.ค.2562 ให้ภรรยาและหัวคะแนนไปจ้างผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 4 คนไปยื่นคำร้องกล่าวหาต่อ กกต.ว่าได้รับเงินจากตัวแทนหรือหัวคะแนนของผู้ร้องคนละ 500 บาทโดยจะได้รับเงินค่าตอบแทนจำนวนคนละ 20,000 บาท ซึ่งจากการไต่สวนมีพยานที่ถูกอ้างว่าได้รับเงินดังกล่าวให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรครบุรี และคณะกรรมการสืบสวนและสอบสวนว่าไม่เคยได้รับเงินหรือค่าจ้าง เพื่อให้ยื่นคำร้องกล่าวหาผู้ร้องต่อกกต.แต่อย่างใด ประกอบกับผู้ร้องไม่ได้พบเห็นเหตุการณ์ตามคำร้องด้วยตนเองเพียงแต่ได้รับคำบอกเล่า จากบุคคลที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อและอ้างพยานบุคคลจำนวน 1 คนเป็นพยานฝ่ายผู้ร้อง โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนจึงมีน้ำหนักน้อยไม่น่าเชื่อถือ  พยานหลักฐานจึงยังฟังไม่ได้ว่า นายสุภรณ์กระทำการฝ่าฝืนตามข้อกล่าวหา


          นอกจากนี้ ยังถูกกล่าวหาว่าได้ให้นายประยุทธ บัวประดิษฐ์ หัวคะแนนนำเงินใส่ซองจำนวน 3 ซอง ซองละ 1,000 บาท แล้วให้นายดี สิมตะมะ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง นำไปเป็นหลักฐานในการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเสิงสาง จ.นครราชสีมา ว่าได้รับเงินซื้อเสียงดังกล่าวมาจากผู้ร้องเรียนกล่าวหานายสุภรณ์ โดยจากการไต่สวน แม้ตอนแรกจะได้ความว่าผู้ร้องกล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 20 มี.ค.2562   นายสุภรณ์  ก่อสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายประยุทธ นำเงินซองดังกล่าวให้นายดี นำไปเป็นหลักฐานแจ้งความว่าได้เงินดังกล่าวจากตัวแทนหรือหัวคะแนนของผู้ร้อง แต่ต่อมาวันที่ 3 พ.ค.2562 และวันที่ 6 ธ.ค.2562 นายดีให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนว่าเมื่อวันที่ 20 มี.ค.2562 นายประยุทธได้มอบเงินจำนวน 3,000 บาท โดยบรรจุใส่ซองซองละ 1,000 บาทให้แก่ตนเพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าเป็นเงินที่ได้รับจากตัวแทนหรือหัวคะแนนของผู้ร้อง ซึ่งเป็นการวางแผนของนายประยุทธ เพื่อกลั่นแกล้งผู้ร้องไห้ได้รับโทษตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง  ผู้ร้องไม่เคยใช้ให้ตัวแทนหรือหัวคะแนนนำเงินมามอบให้กับนายดีแต่อย่างใด  



          ประกอบกับในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประยุทธเป็นจำเลยต่อศาลแขวงนครราชสีมาในข้อหากระทำความผิดฐานทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อให้พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาเชื่อว่ามีความผิดอาญาอย่างใดเกิดขึ้น หรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นจริงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 179 ซึ่งนายประยุทธให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่าเมื่อวันที่ 20 มี.ค.2562 เวลากลางวัน นายประยุทธทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จโดยนำธนบัตรฉบับละ 1,000 บาทจำนวน 3 ฉบับรวมเป็นเงิน 3,000 บาทไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเสิงสาง ว่าธนบัตรจำนวน 3,000 บาทดังกล่าวเป็นเงินที่นายดี ได้รับมาจากการกระทำความผิดอาญาโดยการจูงใจซื้อเสียงเลือกตั้งอันเป็นพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ  ความจริงแล้วธนบัตรจำนวนดังกล่าวเป็นเงินของนายประยุทธเอง  ศาลแขวงนครราชสีมาจึงมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 2593/ 2562 ว่านายประยุทธมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 179 จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่านายประยุทธและนายดีใส่ร้ายด้วยความเท็จและกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 เพื่อจะแจ้งให้ผู้สมัครนั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้งตามที่กล่าวหา


          ส่วนกรณี นายสุภรณ์ มีพยานของผู้ร้องและพยานซึ่งเป็นผู้นำชุมชนใน ต.เสิงสาง จ.นครราชสีมา ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่านายประยุทธได้ช่วยเหลือนายสุภรณ์ ในการหาเสียงเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้งยังทำงานร่วมกันมาโดยตลอด แต่ไม่มีพยานคนใดยืนยันได้ว่านายสุภรณ์ ก่อสนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดดังกล่าวของนายประยุทธ และนายดีพยานหลักฐานจึงยังรับฟังไม่ได้ว่านายสุภรณ์ ได้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 มาตรา 73 วรรค 1 (5)  และมาตรา 143 แต่อย่างใดจึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องในส่วนของนายสุภรณ์ และให้ดำเนินคดีอาญากับนายประยุทธและนายดี ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 มาตรา 73 วรรค 1 (5)ประกอบมาตรา 143 และมาตรา 159

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ