ข่าว

"พิธา" โชว์ 55 ส.ส. ปัดรับงาน "ธนาธร-ปิยบุตร"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ปฏิเสธรับงาน "ธนาธร-ปิยบุตร" "พิธา" โชว์ 55 ส.ส. รุมขยายแผลซักฟอกรัฐบาล เด็ก พปชร. ท้าเปิดหลักฐาน โพลล์ชี้กองเชียร์ลุงตู่เริ่มถอย 

 

               “พิธา” โชว์ 55 ส.ส.อดีตอนาคตใหม่ย้ายเข้า “พรรคก้าวไกล” ยันเดินหน้าดีเอ็นเอต่อต้านสืบทอดอำนาจ ปัดรับงาน “ธนาธร-ปิยบุตร” โว 5 ประเด็นร้อน-ขยายแผลซักฟอก จ่อยื่น ศาลรธน.-ป.ป.ช.สอบ “ธรรมนัส” ปม “ติดคุก-หุ้นเมีย” ด้านเพื่อไทยยันฝ่ายค้านเดินหน้าซักฟอกนอกสภาถล่มรัฐบาล ขณะที่ “ธนกร” ซัด “อนุสรณ์” กล่าวหานักการเมืองหักหัวคิวหน้ากากอนามัย ท้าเปิดหลักฐาน โพลล์ชี้ปชช.ผวา "ปากท้อง“ เศรษฐกิจตกต่ำ-โควิด ระบาดทั่วโลก ซูเปอร์โพล ชี้ กองเชียร์รัฐบาลเริ่มถอย


อ่านข่าว "พิธา"นำทัพ 55 ส.ส.สู่พรรคก้าวไกลเดินหน้าต้านสืบทอดอำนาจ

 

               หลังจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่จากกรณีเงินกู้พรรคกว่า 191 ล้านบาท ได้ถูกจับตาถึงการนำส.ส.กว่า 50 คนไปเข้าพรรคการเมืองใหม่ เนื่องจากมี ส.ส.หลายคนเปลี่ยนใจหันไปสมัครพรรคการเมืองอื่น รวมทั้งบทบาทของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และนายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ยังคงเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคใหม่ด้วยนั้น

 

               เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ศูนย์ประสานงานฝั่งธนบุรี อดีตพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ร่วมประชุมกับ ส.ส.ของพรรค เพื่อกำหนดแนวทางการทำงานและเข้าไปสมัครสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ โดยยืนยันว่า ที่ประชุมร่วมของส.ส.ทั้ง 55 คนมีความเห็นร่วมกันว่าจะย้ายไปสมัครสมาชิกพรรคก้าวไกล โดยจะได้ประสานงานเพื่อสมัครสมาชิกพรรคต่อไป 

 

               นายพิธา กล่าวย้ำว่า ส.ส.ที่เหลือ 55 คนยังยึดมั่นอุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อประชาชน และขอให้ประชาชนได้มั่นใจว่าแม้จะอยู่บ้านหลังใหม่แต่จิตใจยังเหมือนเดิม คือเราอยู่กับประชาชนและประชาธิปไตย ต่อต้านการสืบทอดอำนาจการรัฐประหาร และผลักดันนโยบายก้าวหน้า ทั้งนี้ในช่วงระหว่างการประสานงานเพื่อสมัครสมาชิกพรรคนั้น ที่ประชุม ส.ส.มีมติให้ตนเป็นประธาน ส.ส. พร้อมกับให้ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นโฆษกชั่วคราว

 

               “แม้จะอยู่ระหว่างการสังกัดพรรคการเมืองใหม่ แต่การทำงานของเรายังเดินหน้าต่อทันที โดยแบ่งการทำงานออกเป็นสองก้อนสำคัญ ก้อนแรกจะเป็นการทำงานของคณะกรรมการใน 5 ประเด็น โดยแต่ละประเด็นจะมี ส.ส.ของพรรคที่เข้าไปอยู่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญและวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ดำเนินการ

 

               1.การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 2.ปัญหาพิษเศรษฐกิจ 3.การชุมนุมแฟลชม็อบของนักศึกษา 4.ปัญหาภัยแล้ง 5.การเสียชีวิตของผู้พิพากษา จากนั้นก้อนที่สองจะเป็นคณะทำงานที่ติดตามและขยายผลต่อจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ” นายพิธากล่าว

 

“ธนาธร-ปิยบุตร”ไม่เกี่ยวสั่งการ

 

               ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณียืนยันได้หรือว่านายธนาธร และนายปิยบุตร จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล นายพิธา กล่าวว่า โดยอุดมการณ์ของพรรคการเมืองใหม่ที่เราจะย้ายไปสมัครสมาชิกก็ไม่เปลี่ยน โดย ส.ส.ทุกคนอยู่ด้วยกันมา 1-2 ปี มีความคิดของตัวเอง เกี่ยวกับนโยบายและอุดมการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงาน การศึกษา สาธารณสุข เพราะฉะนั้นยืนยันว่าอุดมการณ์ยังไม่เปลี่ยน การเดินทางก็ต้องเป็นตัวของตัวเอง และการตัดสินใจก็เป็นการตัดสินใจของพวกเราเอง

 

               “ยืนยันว่าพวกเราไม่ได้รับนโยบายมา พวกเราทำนโยบายมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันมา 1-2 ปี และมีส่วนเกี่ยวข้องมันเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอของพวกเรา ดังนั้นไม่ได้รับอะไรมาทั้งนั้น” นายพิธากล่าว

 

               เมื่อถามย้ำว่า หากนายธนาธร หรือนายปิยบุตร มาสภาจะทำให้มีความเชื่อโยงหรือไม่ว่าเกี่ยวข้องกัน นายพิธา กล่าวว่า คงมองแบบนั้นไม่ได้ เนื่องจากสภาเป็นพื้นที่ของพี่น้องประชาชน กรรมาธิการวิสามัญสามารถมีคนนอกมาทำหน้าที่ได้โดยไม่ต้องเป็น ส.ส. ดังนั้นการตอบคำถามนี้ยืนยันว่าสภาไม่ได้เป็นที่ของ ส.ส.เพียงอย่างเดียว แต่เป็นที่ของประชาชนซึ่งคงจะรวมถึงบุคคลทั้ง 2 ท่านที่สื่อได้ตั้งคำถามด้วย

 

               ส่วนสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้การนำของนายพิธาจะมีอะไรบ้าง นายพิธา กล่าวว่า เรื่องการบริหารจัดการ ซึ่งเราต้องยอมรับว่าในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เราทำงานกันอย่างแข็งขันและรวดเร็ว ก็จะอาจจะมีการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกที่น้อยเกินไป เพราะฉะนั้นในเรื่องของกลยุทธ์ นโยบาย และอุดมการณ์เราก็จะไปที่เป้าหมายเดิม เพราะเป็นเป้าหมายร่วมของพวกเราทุกคน แต่สิ่งสำคัญในการมีความฝันแต่ไม่มีเป้าหมาย ก็ต้องมาวางแผนกัน เป็นไตรมาสเป็นรายเดือนว่าการบริหารภายในและกระบวนการทำงานของพรรคสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องทำใหม่

 

มั่นใจ55ส.ส.ไปหมดไร้แตกแถว

 

               ต่อข้อถามจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ส.ส.ทั้ง 55 คนจะไปอยู่พรรคใหม่ด้วยกัน นายพิธา กล่าวว่า มั่นใจ เพราะวันนี้ ส.ส.ทั้งหมดมายืนอยู่ข้างหลังตน เป็นเหมือนกำแพงของตน ซึ่งทำให้ตนมีความมั่นใจในการทำงาน โดยกำแพงชั้นที่สองของ ส.ส.ก็จะเป็นประชาชน ทั้งที่เลือกและไม่ได้เลือกพรรคเรา ซึ่งประเทศไทยในช่วงนี้มีแต่ความท้าทาย ดังนั้นเชื่อว่า ส.ส.ที่เหลืออยู่ของพรรคและประชาชนที่เฝ้าดู ส.ส.ของเราจะมองไปในทิศทางเดียวกัน ว่าเรามีความสามัคคีและทำงานให้สมกับภาษีประชาชน

 

               เมื่อถามถึงงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินการของพรรค นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีการยืมนาฬิกา ต้องยอมรับว่าเราจะเป็นพรรคการเมืองที่มีขนาดเล็กลง โดยจะเน้นในเรื่องของการระดมทุน อาจจะเริ่มระดมทุนกับบริษัทขนาดเอสเอ็มอีที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการขายสินค้าที่ระลึก ซึ่งในช่วงอดีตที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าการระดมทุน การสมัครสมาชิก การขายสินค้าออนไลน์สามารถทำให้พรรคไปต่อได้ และแม้ว่าพรรคการเมืองเราจะมีขนาดเล็กลงแต่คุณภาพจะต้องไม่เล็กลง เราจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป โดยคุณภาพจะต้องไม่ลดลงด้วย

 

               นายพิธากล่าวด้วยว่า ไม่กังวลหากพรรคใหม่จะโดนคดีเหมือนพรรคการเมืองเก่า ตราบใดก็ตามที่ตนยังมีเพื่อนส.ส. เรามีบทเรียนและเราได้ถอดบทเรียน พร้อมที่จะทำงานไปข้างหน้า คำถามที่ควรจะถามกลับบรรยากาศการทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์และตรงไปตรงมา เป็นสิ่งที่ประชาชนจำนวนมาก รวมทั้งนิสิตนักศึกษาร้องขออยู่ พวกตนมีความตั้งใจที่จะมาช่วยเหลือประเทศและมาเปลี่ยนประเทศ เพื่อทำให้ประเทศเป็นประเทศที่ดีกว่าคนรุ่นตน และส่งต่อไปให้ลูกหลานในอนาคต แน่นอนว่าการทำงานจะต้องมีความระมัดระวัง

 

ยื่นศาล-ป.ป.ช.สอบ“ธรรมนัส”

 

               ด้านนายชัยธวัธ ตุลาธน อดีตรองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงแนวทางการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคใหม่ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับทางพรรคก้าวไกล รายละเอียดเมื่อชัดเจนแล้วก็จะมีการชี้แจงให้ทราบอีกครั้ง โดยเราหวังว่าภายในสัปดาห์หน้าเราจะสามารถไปสมัครสมาชิกอย่างเป็นทางการได้ และถ้าพรรคก้าวไกลพร้อมที่จะจัดประชุมวิสามัญ เราก็จะมีการแจ้งให้ทางสื่อได้ทราบต่อไป ส่วนจะมีการดึงคนนอกมาร่วมเป็นกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ เบื้องต้นคงต้องมีการหารือกับทางพรรคก้าวไกลก่อน เพราะขณะนี้พวกตนทั้งหมดยังไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรค ดังนั้นจะไปพูดแทนพรรคก้าวไกลก็คงไม่ได้

 

               ส่วนนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า สืบเนื่องจากสิ่งที่ประชาชนคาดหวังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจของอดีตพรรคอนาคตใหม่โดยผลการโหวตของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่น้อยที่สุดในรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย โดยข้อมูลที่ตนได้อภิปรายไปมีผลสืบเนื่องทางกฎหมายที่จะต้องส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมูญ โดยกลุ่ม ส.ส.55 คนของเรา จะนำเรื่องของ ร.อ.ธรรมนัส ทั้งการเคยถูกจำคุกมาก่อน และภรรยาถือครองหุ้นในบริษัทที่เป็นคู่สัญญากับรัฐวิสาหกิจ ซึ่งขัดกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ และมีความผิดชัดเจนที่จะต้องหลุดจาก ส.ส.โดยกลุ่มของเราจะนำเรื่องส่งไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำส่งศาลรัฐธรรมนธูญต่อไป ขณะที่เรื่องของการขัดจริยธรรมขัดกันซึ่งผลประโยชน์แห่งรัฐ เราจะนำเรื่องส่งไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป

 

โอนภารกิจ“ไอโอ”ให้เอกชน
 

               นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า กรณีปฏิบัติการข่าวสารของกองทัพ หรือไอโอ ตอนนี้สังคมตระหนักมากขึ้น มีการเตือนสติร่วมกัน ทำให้ความเกลียดชังต่อกันในหมู่ประชาชนลดลง นอกจากนี้ ยังมีการขับเคลื่อนร่วมกันในภาคประชาชน ในพื้นที่โลกไซเบอร์ซึ่งมีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ แกะรอยดิจิทัลฟุตปริ๊นท์ส่งมาให้อีกเป็นจำนวนมาก

 

               อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องตามคำตอบ เพราะถ้าอ้างอิงจากคู่มือปฏิบัติการสนาม เรื่องการปฏิบัติที่มุ่งเป้าประชาชนนั้นเป็นข้อห้าม และ ผบ.ทบ.เองเคยบอกไว้ว่า จะไม่มีปฏิบัติการจิตวิทยา ข่าวสารกับประชาชน ไม่มองประชาชนคู่ขัดแย้ง ดังนั้น คำสั่งใดๆ ไม่ว่าลับหรือไม่ลับ ที่พุ่งเป้าประชาชนนั้นขัดคำสั่ง ผบ.ทบ และผิดคู่มือปฏิบัติการสนามแน่นอน รัฐต้องตอบว่ามีการใช้ภาษีประชาชน คุกคาม แบ่งแยก สร้างความเกลียดชัง ทำลายการรู้รักสามัคคีประชาชน โดยใช้เจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่

 

               ทั้งนี้ได้ยินว่าอาจมีการผ่องถ่ายภารกิจนี้ให้บริษัทเอกชนบางรายดำเนินการต่อ ซึ่งเป็นเรื่องน่าตกใจมาก และก็น่าติดตาม ส่วนกรณีเว็บไซต์พูโลนี ได้ประสานงานกับนักสิทธิมนุษยชน จะมีการดำเนินการทางกฎหมายเรื่องนี้ต่อไป 

 

ยันเดินหน้าซักฟอกนอกสภา

 

               นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนิด้าโพลเปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “คุณไว้วางใจฝ่ายค้านหรือไม่?” พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยมีดีลกับรัฐบาลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้าน มีข้อจำกัดในการทำงานอภิปรายมาก แต่พรรคร่วมฝ่ายค้านก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างดีที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึงรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย ไม่สามารถตอบคำถามได้อย่างครบถ้วนชัดเจน

 

               ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาชัดๆ เช่น เรื่องขายที่ดิน 600 ล้านบาท ของบิดา พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องไอโอแบ่งแยก สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนของทหาร ที่มีขบวนการไอโอ ด้อยค่า แพร่มลทิน กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ก็ตอบได้แค่ ไม่รู้ หรือจะไปตรวจสอบ พรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน ไม่มีทางจะไปมีดีลกับรัฐบาลหรือดำเนินการสวนทางกับเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาลระบอบประยุทธ์ ประชาชนตั้งคำถามว่า รัฐบาลจะแก้วิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่ ถ้าคุมไวรัสไม่อยู่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้พี่น้องประชาชนไม่ได้ รัฐบาลไม่มีความชอบธรรมที่จะอยู่ ถ้าผ่านเดือนเมษายนไปได้ ก็นับว่าฝืนสังขารฝืนศรัทธาประชาชนเต็มทน

 

               “พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านจะทำหน้าที่เดินหน้าตรวจสอบซักฟอกรัฐบาลอย่างต่อเนื่องทั้งในและนอกสภา ไม่มีดีลอะไรกับระบอบประยุทธ์ มีเพียงดีลกับประชาชน ถ้ารัฐบาลไม่มีความสามารถต้องลาออกไป” นายอนุสรณ์กล่าว

 

ติงแจกเงิน-ดึงเชื่อมั่นแก้ไวรัส

 

               ด้าน ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ และหัวหน้าศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลออกแคมเปญแจกเงินหัวละ 1,000-2,000 บาท เพื่อแก้ปัญหา รวมทั้งสิ้นกว่าแสนล้านบาท โดยหวังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมานั้น เป็นไปได้ยากมาก และในท้ายที่สุดเงินจะวนเวียนไปตกเข้ากระเป๋านายทุนใหญ่ทั้งหมดอีกหรือไม่ ในขณะที่วิกฤติไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยเกือบทุกตัวจากเดิมที่แย่อยู่แล้ว  ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำเงินภาษีของประชาชนมาแจกแบบไม่มีประโยชน์ เพราะบทเรียนจากแคมเปญชิมช้อปใช้ที่ผ่านมาได้ใช้งบประมาณไปกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็ไม่สามารถฟื้นระบบเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้

 

               “ควรนำงบประมาณ 1 แสนล้านบาทจากแคมเปญแจกเงิน ไปแก้ปัญหาการแพร่เชื้อโควิด-19 จะดีกว่า โดยจัดตั้งโรงงานผลิตหน้ากากในทุกภูมิภาค และต้องให้แล้วเสร็จภายใน 14 วัน โดยรัฐบาลควรจะต้องแจกให้แก่บุคลากรทางการแพทย์วันละ 2 ชิ้นต่อคน และควรจัดส่งให้แก่ประชาชนทางไปรษณีย์วันละ 1 ชิ้นต่อคน ทำการจัดส่งเดือนละ 1 ครั้ง ควรกำหนดให้สถานที่ราชการและระบบขนส่งสาธารณะทุกชนิดมีเจลล้างมือแอลกอฮอล์ และต้องฆ่าเชื้อวันละ 2 ครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้งบประมาณเพียงแค่ไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท จะเหลือเงินอีก 9 หมื่นล้านบาท ที่จะนำมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น” ร.ต.อ.วัฒนรักษ์กล่าว 

 

แจง2พันเยียวยาไม่ใช่แจกเงิน

 

               นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) กล่าวว่า ตนเป็นหนึ่งในคนที่ไม่เคยเห็นด้วยกับมาตรการหรือนโยบายการแจกเงินของรัฐบาลเลยไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ตาม แต่วันนี้ขอให้อธิบายความแตกต่างระหว่าง “การแจกเงิน” กับ “การเยียวยา” เพื่อฉีก 2 สิ่งนี้ออกจากกันให้ทุกท่านได้เข้าใจว่ามาตรการที่รัฐบาลกำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้เพื่อรับมือกับวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 คือการเยียวยา ไม่ใช่การแจกเงินเพื่อหวังที่จะได้คะแนนนิยม

 

               “เม็ดเงินที่กำลังจะหายไปจากระบบเศรษฐกิจไทยแค่จากอุสาหกรรมการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวชาวจีนเพียงแค่ประเทศเดียวที่ประเมินว่าภายในปีนี้จะมาเที่ยวไทยมีจำนวนสูงถึงเกือบ 12 ล้านคน ซึ่งจะนำรายได้มหาศาลถึง 560,000 ล้านบาท และจากชาติอื่นๆ ทั่วโลกที่เราได้คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนสูงถึง 40.8 ล้านคนที่จะนำเม็ดเงินเข้ามาในประเทศที่สูงถึง 2.02 ล้านล้านบาท แต่เม็ดเงินนี้กำลังหายไปจากวิกฤติโควิด-19 และต้องขอย้ำว่ารัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะต้องออกมาตรการการเยียวยาให้ประชาชนสามารถอยู่รอดให้ได้ และเรื่องนี้คือวิกฤติระดับโลกไม่ใช่แค่เพียงระดับประเทศ นอกจากนี้เรายังมีมาตรการด้านการเงินช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ด้วย”

 

ซัด“อนุสรณ์”กล่าวหาหัวคิว

 

               ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายอนุสรณ์ระบุว่ามีนักการเมืองหักหัวคิวหน้ากากอนามัยว่า ไม่ทราบว่านายอนุสรณ์หมายถึงใคร แต่รัฐบาลไม่มีเรื่องนี้แน่นอน และจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์นี้อย่างเด็ดขาด ทางที่ดีนายอนุสรณ์ควรจะเปิดเผยชื่อออกมาเลย รัฐบาลจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดทันที ไม่ใช่ทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ กุข่าวมาโจมตีรัฐบาลเพื่อหวังเป็นข่าวรายวัน ทั้งนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารงานด้วยความโปร่งใส ระดมสรรพกำลังทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 ดังนั้น จะไม่ปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้เด็ดขาด

 

               “วันนี้นายอนุสรณ์กำลังเล่นเกมการเมืองบนความทุกข์ของพี่น้องประชาชน ไม่รู้ว่าจิตใจทำด้วยอะไร ขอให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว รัฐบาลกำลังทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติโควิด-19  วันนี้ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ไม่ใช่สร้างข่าวมาโจมตีรัฐบาลรายวัน ขอให้นายอนุสรณ์คิดถึงประเทศชาติบ้าง ถ้ามีหลักฐานก็กล้าๆ โชว์ หรือจะส่งมาให้รัฐบาลเพื่อจะได้ดำเนินอย่างโปร่งใสก็ได้ อย่างไรก็ตามทุกวันนี้มีการบิดเบือนข้อมูลโจมตีรัฐบาลอยู่ทุกวัน”

 

ลดาวัลลิ์ตั้งพรรคเสมอภาค

 

               ส่วนที่โรงแรมเอสดี อเวนิว ปิ่นเกล้า วันเดียวกัน นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตส.ส.พะเยา แถลงข่าวตั้ง “พรรคเสมอภาค” ภายใต้สโลแกนว่า “รวมพลังสร้างชาติ พลิกฟื้นเศรษฐกิจสร้างชีวิตใหม่ สร้างความเสมอภาค” ว่า วันนี้เป็นวันสตรีสากล ตนจึงใช้เป็นฤกษ์ดีในการเปิดตัวทางการเมือง เพื่อผลักดันบทบาทสตรีไทยมีความรู้ความสามารถ และทำให้ทุกคนมีความเสมอภาค ไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ สังคม ผู้หญิงในบาทบาทนักการเมืองมีน้อยมาก

 

               โดยตนจะไปจดตั้งพรรคเสมอภาคกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ภายในสัปดาห์นี้ จึงขอเชิญประชาชน ทุกเพศ ทุกวัย มาร่วมสร้างความเสมอภาคด้วยกัน จึงขออาสามาสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า ในการพัฒนาประเทศขับเคลื่อนไปด้วยกัน

 

               “คนที่เข้ามาอยู่พรรคเสมอภาค อย่าหวังประโยชน์ส่วนตัว ขอให้ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง มีคนถามว่านายทุนมาจากไหน อยากบอกว่าดิฉันเป็นนายทุนคนเดียว จึงขอเชิญทุกคนมาเป็นนายทุนร่วมกันในการสร้างพรรคของเราเอง” 

 

ห่วง“ปากท้อง-โควิดระบาด”

 

               วันเดียวกัน สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,162 คน ระหว่างวันที่ 3-7 มีนาคม 2563 สรุปผลเรื่องที่คนเป็นห่วงดังนี้ อันดับ 1 ปากท้อง 78.45% สาเหตุ สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ รายได้ไม่พอจ่าย สินค้าขายเกินราคา ทำมาหากินยากขึ้น  อันดับ 2 โควิด 19 71.47% สาเหตุ ระบาดทั่วโลก มีผู้เดินทางจากประเทศเสี่ยงเข้ามาในไทยต่อเนื่อง มีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ยังไม่มีมาตรการป้องกันที่ชัดเจน หน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ขาดตลาด  

 

               อันดับ 3 โจร ผู้ร้าย 64.51% สาเหตุ มีข่าวให้เห็นทุกวัน พฤติกรรม รูปแบบการก่อเหตุรุนแรงมากขึ้น  อันดับ 4 การเมือง 58.93% สาเหตุ รัฐบาลแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ตรงจุด มีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มีการชุมนุมเคลื่อนไหว บ้านเมืองวุ่นวาย  และอันดับ 5 ธุรกิจท่องเที่ยว 57.60% สาเหตุ ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ผู้ประกอบการขาดทุน ปิดกิจการ คนตกงาน  

 

ซูเปอร์โพลชี้คนถอยห่างรัฐบาล 

 

               ด้านนายมนตรี วิบูลยรัตน์ ที่ปรึกษาด้านข้อมูลธรรมาภิบาล สำนักวิจัยซูเปอร์โพล ร่วมกับ นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่องรัฐร่วมราษฎร์ข้ามปัญหาโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89.3 ติดตามข่าวไวรัสโควิด-19 มากถึงมากที่สุด  และในส่วนเรื่องกังวลเกี่ยวกับกลุ่มคนที่ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มผีน้อย กลุ่มคนเดินทางจากประเทศเสี่ยงสูง พบว่าร้อยละ 75.2 กังวลผู้ที่มาจากประเทศเสี่ยงสูงขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ร้อยละ 67.9 กังวลผลกระทบต่อสุขภาพและสาธารณสุข ร้อยละ 64.3 กังวลผู้ติดเชื้อปกปิดความจริง ร้อยละ 63.2 กังวลผลกระทบ ธุรกิจ ท่องเที่ยวร้อยละ 46.4 กังวลธุรกิจขาดทุน คนตกงาน ร้อยละ 44.5 กังวลคนเกิดความกลัวต่อกัน ร้อยละ 42.6 กังวลเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแย่ลง 

 

               สำหรับมาตรการรัฐร่วมราษฎร์ข้ามปัญหาโควิด-19 พบว่าร้อยละ 96.4 ระบุ เหมาะสมที่ บริษัท ซีพีผลิตหน้ากากอนามัยแจกประชาชน รองลงมาคือ ร้อยละ 95.3 ระบุ เหมาะสมต่อมาตรการเอาผิดทั้งจำคุกและปรับ ผู้กักตุนหน้ากากอนามัย ร้อยละ 91.7 ระบุ เหมาะสมถ้ามีมาตรการกักตัวผู้มาจากประเทศแพร่ระบาดสูงจาก 14 วัน เป็น 27 วัน ร้อยละ 90.9 ระบุ เหมาะสมถ้ามีมาตรการหยุดออกวีซ่าหรือใบอนุญาตเข้าประเทศกลุ่มคนมาจากประเทศแพร่ระบาดสูง และร้อยละ 85.7 ระบุ เหมาะสมมาตรการผู้ติดเชื้อฝ่าฝืนปกปิดความจริง ทั้งจำทั้งปรับ  

 

               ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า ผลโพลล์ชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่าฐานสนับสนุนจากภาคประชาชนของรัฐบาลกำลังเปราะบาง โดยคนที่เคยหนุนก็ถอดใจถอยห่างรัฐบาลไปจำนวนมาก จะเห็นได้เช่นกันว่าขนาดมาตรการแจกเงินนั้น คนส่วนใหญ่ยังยี้ไม่เอาด้วย น่าสงสารนายกรัฐมนตรีและผู้ใหญ่ที่อาจจะถูกฝ่ายการเมืองทิ้งได้ในภายหลังเช่นกัน

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ