
3 ม็อบนศ.ฮึ่มฉะ "บิ๊กตู่" วันนี้ "สวนกุหลาบนนท์" เอาด้วย
3 ม็อบนศ.ฮึ่มฉะ "บิ๊กตู่" วันนี้ "สวนกุหลาบนนท์" เอาด้วย ไล่ หน.ไอโอพรึ่บราชประสงค์ รัฐปัดใช้ก.ม.มั่นคงคุม
ม็อบราชประสงค์เริ่มแล้วรวมตัวเรียกร้องประชาธิปไตย ตำรวจตรึงกำลังเข้ม ด้านสธ-สมช.ประสานเสียงไม่ใช้พ.ร.บ.มั่งคงคุมแฟลชม็อบ ซัดกุข่าวเท็จ ธนาธรส่งข้อความสุดท้ายถึงส.ส.อดีตส้มหวานปลดโซ่ตรวนต่อสู้ร่วมกับนศ. ด้าน “บิ๊กตู่” แจ้ง “พรรคร่วม” ปรับครม.เผย ไม่แตะโควตาเดิม หากเปลี่ยนตัวให้ไปคุยกันเองภายใน
อ่านข่าว ปรับ 5พัน นักศึกษา แฟลชม็อบจันทบุรี
อ่านข่าว นศ.-ผู้สูงวัย ร่วมแฟลชม็อบ ม.เกษตรฯ ไม่หวั่นโควิด-19
กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าจับตามองหลังจากก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวออกมาว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาที่จะประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในการควบคุมไม่ให้เกิดการชุมนุม ซึ่งสอดรับกับช่วงเวลาที่ นักเรียน นิสิต นักศึกษาทั่วประเทศออกมาแสดงพลังความคิดเห็นทางการเมือง เพื่อแสดงจุดยืนไม่ยอมรับการบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ม็อบราชประสงค์เริ่มแล้ว
เมื่อเวลา 16.25 น. วันที่ 1 มีนาคม ที่แยกราชประสงค์ เขตปทุมวัน มีกิจกรรมแฟลชม็อบ #ประชาชนไล่หัวหน้าio โดยเจ้าหน้าที่ได้นำรั้วเหล็กกั้นไว้สำหรับเป็นพื้นที่จัดกิจกรรม ขณะเดียวกันมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในและนอกเครื่องแบบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ทั่วบริเวณตั้งแต่ก่อนเวลา 15.30 น. นอกจากนี้ยังมีการวัดไข้ พร้อมเตรียมเจลแอลกอฮอลล์สำหรับผู้ร่วมกิจกรรมด้วย โดยนอกจากกิจกรรมปราศรัยแล้ว ยังมีการอ่านบทกวี และการแสดงดนตรีร่วมด้วย
จากนั้นผู้จัดกิจกรรมสลับกันปราศรัย โดยตัวแทนกลุ่ม Queer เพื่อประชาธิปไตย กล่าวตอนหนึ่งว่า ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมาสามารถบอกได้ไหมว่าเศรษฐกิจดี ค้าขายอะไรก็รวย ซึ่งไม่จริง เพราะทุกคนกำลังหาเพื่อนร่วมทางที่ต้องการหาผู้ช่วยเหลือ แต่รัฐเผด็จการกลับไม่เคยช่วยเรา เขาพรากสิทธิเราทุกคน นอกจากนี้ในเรื่องสุขภาพ เรื่องเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ต้องการให้รัฐช่วยให้ความมั่นใจ
แต่พวกเขากลับไม่เคยออกมาตรการอะไรเลย มีแต่พูดจางี่เง่าเท่านั้น ประเทศเราทำให้เรารู้สึกหมดหวัง แต่วันนี้น้องๆ นักศึกษาออกมาแล้ว เริ่มเห็นความเป็นธรรมในสังคมบ้างแล้ว ทุกคนเริ่มเบ่งบานและออกมาด้วยพลังบริสุทธิ์ แต่พวกคุณก็ยังใช้รูปแบบข่าวปลอมมาดูถูกประชาชน ดังนั้นการที่เราออกมาวันนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าการกดขี่ไม่ได้อยู่เฉพาะนิสิตนักศึกษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพวกเราด้วย
ทั้งนี้ผู้ร่วมกิจกรรมแฟลชม็อบรายหนึ่งกล่าวว่า มาแสดงพลังให้เห็นว่าประชาชนที่มีความหลากหลายต้องการประชาธิปไตย ไม่ต้องการอำนาจแบบเดิม และต้องการความเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศนี้
สมช.เตือน‘แฟลชม็อบ’อย่าลามลงถนน
วันเดียวกัน พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลการชุมนุมจัดกิจกรรมแฟลชม็อบของกลุ่มนิสิตนักศึกษา และนักเรียนตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงจับตากิจกรรมแฟลชม็อบอย่างใกล้ชิด พร้อมขอร้องให้จัดกิจกรรมอยู่ในสถาบันมากกว่าขยายการชุมนุมลงท้องถนน เพราะเกรงกระทบกระทั่งกับกลุ่มคนที่ 3 เนื่องจาก สมช.ห่วงมือที่สามจะเข้ามาสร้างสถานการณ์ โดยต้องประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวัน มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจดูแลด้วยความละมุนละม่อม หากจัดกิจกรรมอยู่ในสถาบันการศึกษาก็ไม่น่าจะมีอะไรทำให้เกิดความวุ่นวาย
“ขอร้องกลุ่มนิสิตนักศึกษาอย่าจัดกิจกรรมนอกสถานศึกษา หรือออกมายังท้องถนน เพราะหากออกมาแล้วจะทำให้ควบคุมดูแลความปลอดภัยได้ยากลำบาก โดยเฉพาะการกระทบกระทั่งของกลุ่มคนที่สามที่อาจจะสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายได้ ขอให้จัดกิจกรรมอยู่ในสถาบันตามกรอบที่เหมาะสม อย่าหมิ่นสถาบัน อีกทั้งผู้บริหารของสถาบันก็ไม่ได้ไปกดดันอะไร” เลขาฯ สมช.กล่าว
ยันประเมินสถานการณ์วันต่อวัน
เลขาฯ สมช. กล่าวด้วยว่า สำหรับมาตรการในการดูแลความปลอดภัย หากกลุ่มนิสิตนักศึกษาขยายการชุมนุมนอกสถาบันนั้น จะต้องดูเป็นกรณีไป แต่เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจจะปฏิบัติงานด้วยความละมุนละม่อมให้มากที่สุด โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกัน ทั้งนี้หน่วยงานด้านความมั่นคงไม่ได้ปิดกั้นการแสดงออกใดๆ ทั้งสิ้น รัฐบาลหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงไม่ได้มีอำนาจในการกดดัน หรือแทรกแซงใดๆ ทุกอย่างต้องว่าไปตามกฎหมาย” พล.อ.สมศักดิ์ กล่าว
พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า สมช.จับตาดู แต่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ และไม่มีการปิดกั้น ถ้าเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา อยากขอร้องให้อยู่ในกรอบของสถาบัน เนื่องจากสุ่มเสี่ยง ถ้าอยู่ในกรอบสถาบัน หน่วยงานความมั่นคงไม่ได้ว่าอะไร แต่ทั้งหมดไม่ว่าจะอยู่ในสถาบันหรือที่ใด เจ้าหน้าที่ถูกกำชับให้ปฏิบัติอย่างละมุนละม่อม ส่วนงานด้านการข่าวทาง สมช.ก็ติดตามดูอยู่ ช่วยกันดูกับสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ปัดใช้กฎหมายมั่งคงคุมม็อบ
เมื่อถามว่าหวั่นมือที่สามฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์หรือไม่ พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า มองว่าเป็นไปได้ที่มือที่สามจะฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ โดยขณะนี้เองก็อยู่ในช่วงสอบ และมีเรื่องของไวรัสโควิด-19 การชุมนุมกันไม่ได้เป็นผลดี อยากให้ช่วยๆกันบอกหากมาชุมนุมให้ใส่หน้ากากอนามัย ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหม กำชับอย่างที่ตนกล่าวมาแล้ว ไม่ได้ปิดกั้น ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ชุมนุมในสถาบันได้ และผู้บริหารสถาบันอนุญาตเราก็ไม่ได้ว่าอะไร
เมื่อถามว่ากระแสข่าวจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อาจมีการใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ห้ามการชุมนุม พล.อ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดถึงตรงนี้ และมองว่าไม่มีความจำเป็น เมื่อการชุมนุมยังอยู่รั้วสถาบัน
สธ.ย้ำไม่มีเสนอ‘มั่นคงฯ’คุมม็อบ
วันเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก “อนุทิน ชาญวีรกูล” มีเนื้อหาดังนี้ อย่านำ “การเมือง” มาซ้ำเติมสถานการณ์โรคระบาด ขอเรียนชี้แจงทุกสำนักข่าวที่เสนอข่าวว่ากระทรวงสาธารณสุข จะเสนอนายกรัฐมนตรีให้ใช้พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเพื่อห้ามชุมนุมทางการเมือง ทราบว่าข่าวที่ท่านนำเสนอนั้นเป็นความเท็จ ขอย้ำว่าเป็นความเท็ ไม่เคยคิดถึงพ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาก่อน
“ผมไม่เคยคิดสกัดกั้น หรือห้ามการชุมนุมทางการเมืองเพื่อแสดงออกถึงสิทธิ เสรีภาพทางความคิด และการพูดของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นประชาชนกลุ่มใดๆ ก็ตาม หากการชุมนุมนั้นไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นและเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่ขัดต่อกฎหมาย
ขอย้ำอีกครั้งว่าผมไม่เคยมีความคิดจะสกัดกั้น หรือห้ามการชุมนุมทางการเมือง เพียงแต่ขอให้ผู้จัดการชุมนุมดำเนินการด้วยความรับผิดชอบต่อส่วนรวมในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโรคติดต่ออันตราย ได้ทราบถึงข้อห่วงใย และความกังวลใจของคณะแพทย์ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ที่มีต่อการจัดการชุมนุมเท่านั้น ขอความกรุณานำเสนอและส่งต่อข้อมูลนี้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย ขอบคุณครับ” นายอนุทิน ระบุ
จ่อจับม็อบ‘ขับไล่หัวหน้าio’วัดไข้
ด้าน พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. กล่าวถึงกรณีการชุมนุมแฟลชม็อบในสถาบันการศึกษาพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ผ่านมาว่า เป็นการแสดงกิจกรรมในสถานศึกษา ที่ผ่านมายังทำอยู่ในกรอบและยังไม่พบการกระทำผิดตามพ.ร.บ.การชุมนุม ส่วนที่มีการพาดพิงไปถึงบุคคลอื่น ตอนนี้ยังไม่มีเจ้าทุกข์มาร้องทุกข์แต่อย่างใด ส่วนกรณีการนัดชุมนุมแฟลชม็อบ #NGO ขับไล่หัวหน้า io ที่บริเวณราชประสงค์ วันนี้ (1 มี.ค.) เวลา 16.00-18.00 น. กิจกรรมดังกล่าวแจ้งการชุมนุมโดยปกติ ตำรวจได้ออกข้อกำหนดตามพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ
หน้าที่ของเราคืออำนวยความสะดวกและดูแลรักษาความปลอดภัยผู้ชุมนุมและประชาชนที่สัญจรไปมา ซึ่งจุดนั้นอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าเราก็ขอความร่วมมือว่าให้ชุมนุมในสถานที่ที่กำหนดไม่ไปรบกวนและสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนที่ใช้ทางสาธารณะ ส่วนสิ่งที่เป็นกังวลคือเรื่องไวรัสโควิด-19 จึงขอให้ผู้ที่มาชุมนุมระมัดระวัง ซึ่งตำรวจได้ประสานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข พยาบาลไว้ หากผู้ร่วมชุมนุมมีจำนวนมากอ่อนไหวต่อเรื่องการแพร่ระบาดของโรคก็จะขอวัดไข้ทุกคนก่อนจะเข้าพื้นที่การชุมนุม
ธนาธรปลุกส.ส.ปลดโซ่ตรวน-ต่อสู้ร่วมนศ.
วันเดียวกันอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊ก “Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เรื่อง “ฝากข้อความสุดท้ายถึง ส.ส. ที่เหลืออยู่ของอดีตพรรคอนาคตใหม่” ระบุว่า ฝากข้อความสุดท้ายถึง ส.ส. ที่เหลืออยู่ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ภารกิจสุดท้ายในฐานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ คืองานอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล ภายใต้ชื่อปฏิบัติการพิน็อกคิโอได้จบลงไปแล้ว วันนี้คงเดินทางไปกับพรรคใหม่กับพวกคุณด้วยไม่ได้ แต่จะให้กำลังใจและเฝ้ามองความสำเร็จอยู่ห่างๆ โดยไม่แทรกแซงและไม่ครอบงำการทำงาน ภาวะการเมืองในวันนี้คือช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดในประวัติศาสตร์นี่คือช่วงเวลาแห่งความกล้าฝัน กล้าที่จะทะเยอทะยาน
“วันนี้ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน “อยู่ไม่เป็น” พวกเขาเสียสละอย่างมาก เขาเป็นคนธรรมดาไม่มีชื่อเสียงสถานะ พวกเขาเถียงกับเพื่อน ทะเลาะกับพ่อแม่ พวกเขาไม่มีรายได้ แต่พวกเขาก็ลุกขึ้นมาเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ตนเองเชื่อ ดังนั้นการ “ไม่ทรยศประชาชน” ของ ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ จึงไม่เพียงพอ
ผมขอฝากเพื่อนส.ส.ที่เคยทำงานด้วยกันว่าคุณต้องทำมากกว่านั้น ต้องยืนยันหลักการ ต่อสู้ร่วมกับประชาชน สนับสนุนพวกเขา อย่าให้ตำแหน่งที่คุณมีกลายเป็นโซ่ตรวน เป็นพันธนาการของตัวเอง จงใช้มันเพื่อรับใช้มวลชน
ส่วนตัวผมเองขอทำหน้าที่การรณรงค์ทางความคิดและการเคลื่อนไหวทางสังคมนอกสภา ต่อสู้และต่อต้านระบอบรัฐประหารร่วมกับประชาชนให้ถึงที่สุด อย่าทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสร้างประชาธิปไตยและการเปลี่ยนแปลง ประวัติศาสตร์มอบโอกาสให้คุณแล้ว ถ้าไม่ยืนหยัดสู้ในวันนี้แล้วเราจะสบตาคนรุ่นต่อไปได้อย่างไร”
“ภูมิธรรม”เตือนหากคิดใช้ก.ม.มั่นคง
นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกระแสข่าวว่ารัฐบาลเตรียมใช้กฎหมายความมั่นคงไม่ให้มีการชุมนุมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื่อโควิด-19 ว่าหากเป็นเรื่องจริงอยากให้รัฐบาลพิจารณาให้รอบคอบ เพราะขณะนี้มีความไม่พอใจของกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่มีต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ยิ่งมีเรื่องของการระบาดของโรคดังกล่าวอีก อาจส่งผลต่อสภาวะภายในประเทศ
หากรัฐบาลใช้โอกาสนี้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงหรือประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อหวังคุมแฟลชม็อบอาจกลายเป็นเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียวจนกลายเป็นไฟลามทุ่ง ดังนั้นรัฐบาลต้องแสดงความจริงใจแก้ปัญหาที่ต้นตอ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหา ต้องให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องกับประชาชน ระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อรับมือ อย่าใช้อำนาจแก้ปัญหาเพราะอาจทำให้เรื่องกลายเป็นอื่นได้
‘อนุดิษฐ์’ดักคอรัฐจ่อออกพ.ร.บ.มั่นคง
ส่วน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์ว่าในฐานะผู้แทนราษฎรที่มาจากประชาชน การรับฟังเสียงของประชาชนที่สะท้อนถึงการทำหน้าที่ของอำนาจทั้งสามฝ่าย เป็นสิ่งที่ต้องรับฟังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการสะท้อน “ความจริง” ที่ตรงไปตรงมา คือ “หัวใจ” สำคัญที่จะทำให้ทุกฝ่ายได้นำเอาข้อบกพร่องไปปรับปรุงเพื่อพัฒนาการทำหน้าที่ของตนเองให้มีประสิทธิภาพ เพราะเสียงของประชาชน คือ เสียงที่ทรงพลังที่สุดในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
“ไม่ว่ารัฐบาลจะอาศัยเหตุผลใดก็ตามมาสร้างเงื่อนไขเพื่อพยายามปิดกั้นการชุมนุมของประชาชนที่แสดงพลังอย่างบริสุทธิ์ โดยเฉพาะนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่มีความตื่นตัวทางการเมือง กล้าตั้งคำถามต่อผู้มีอำนาจอย่างตรงไปตรงมา สนใจปัญหาต่างๆ ของประเทศอย่างจริงจัง และออกมาแสดงพลังกันทั่วทุกภูมิภาค ย่อมชัดเจนอยู่ในตัวเองว่าความพยายามในการอาศัยเงื่อนไขบางประการ มาปิดกั้นการแสดงออกซึ่งสิทธิ เสรีภาพของประชาชน กลายเป็นจุดมุ่งหมายหลักของการใช้กฎหมายนี้ มากกว่าความพยายามที่จะจัดการปัญหาตามที่รัฐบาลอ้าง” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
เตือนนร.-นศ.เคลื่อนไหวใต้รธน.
ขณะที่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โพสต์ข้อความถึงการเคลื่อนไหวของนักศึกษาว่า น้องๆ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ทำภายใต้รัฐธรรมนูญได้ การใช้ระเบียบ กฎข้อบังคับของมหาวิทยาลัย โรงเรียน หรือหน่วยงานของรัฐ ต้องคำนึงถึงในส่วนนี้ด้วย ซึ่งอาจผิดมาตรา 157 ดูให้พองามก็พอ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยตามมาตรา 50 บุคคลมีหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทุกคนมีหน้าที่พิทักษ์ รักษาประชาธิปไตย เท่าเทียมกันครับ เป็นกำลังใจให้ทุกท่าน
นิพิฏฐ์ชี้เห็นต่างกันไม่ควรเย้ยหยัน
ส่วนนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นระบุว่า คนที่เป็นนักประชาธิปไตยต้องไม่เย้ยหยันการชุมนุมทางการเมืองของคนอื่นว่า “เรากำลังหลงทางหรือเปล่า? ผมไม่รังเกียจการชุมนุม ไม่ว่าการชุมนุมนั้นมาจากเด็ก มาจากคนวัยกลางคน หรือมาจากคนแก่ เมื่อเราประกาศตัวเองว่าเราก็เป็นนักประชาธิปไตย เราจะไปเย้ยหยันการชุมนุมของคนอื่นทำไม
หากเราเย้ยหยันก็แสดงว่าเราไม่ใช่นักประชาธิปไตยหรอก นักประชาธิปไตยต้องจำได้กับคำกล่าวที่ว่า "ข้าพเจ้ายอมสละชีวิตให้ท่านได้พูดในสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย” นับประสาอะไรกับการสละชีวิตสิ่งที่เขาพูดแต่เราไม่เห็นด้วย เราก็ใช้ถ้อยคำรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน แต่ก็ต้องระวังนะครับเราปฏิเสธอดีต แต่เราก็ยังไม่มีอนาคตให้โอบกอดเลย เรากำลังหลงทางอะไรกันหรือเปล่า”
ยก5เหตุผลแฟลชม็อบเหมือน14ตุลา
ขณะที่ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ว่า การชุมนุมของนักศึกษาในครั้งนี้ ถ้าเปรียบเทียบได้กับการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาในยุค 14 ตุลาปี 16 นั้น มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันใน 5 ประการ คือ 1.จุดเรื่มต้นจากการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในนามศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ไปสู่นักเรียนระดับมัธยมในนามศูนย์กลางนักเรียนแห่งประเทศไทย
2.กระแสการเคลื่อนไหวเริ่มต้นเกิดจากนิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ขยายตัวไปสู่มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด แต่ยุคนี้เป็นโลกโซเชียลมีการขยายผลอย่างรวดเร็วกว่าในสมัย 14 ตุลา 3.การชูประเด็นการต่อสู้ เป็นการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่เอาระบอบเผด็จการ
ส่วน 4.ข้อเรียกร้องเรื่องรัฐธรรมนูญ ยุค 14 ตุลา เรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญใช้ในการปกครองประเทศ แต่ยุคนี้เสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง 5.มีผู้นำรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นนายทหารมาก่อน เหมือนยุค 14 ตุลา ที่มี จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งปี 2512 ได้ปฏิวัติตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจจนถึงปี 2516
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีจากการปฏิวัติของตนเอง และต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยการเลือกตั้งจากรัฐธรรมนูญที่เขียนมาจาก คสช. เพราะฉะนั้นอยากเรียกร้องให้รัฐบาลได้ตระหนักถึงข้อเรียกร้องของนักศึกษาที่เป็นพลังบริสุทธิ์ และหามาตรการป้องกันแก้ไขไม่ให้การชุมนุมขยายผล ลุกลามเหมือนไฟลามทุ่ง จนบ้านเมืองต้องเจอทางตันอีกเลย
“ศรีสุวรรณ”’จับเข้าคุกชักใยแฟลชม็อบ
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “ศรีสุวรรณ จรรยา” ระบุว่า “ไฟลามทุ่ง...หมดเชื้อไฟเดี๋ยวก็มอด แฟลชม็อบเอานักการเมืองชังชาติที่อยู่เบื้องหลังเข้าคุกให้หมด...เดี๋ยวก็จบ..!!”
‘อนุสรณ์’ซัด5ปัญหารุมเร้าศรัทธา
ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่าแม้ พล.อ.ประยุทธ์ และ 5 รัฐมนตรี จะได้รับความไว้วางใจจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ด้วยวิธีบริหารจัดการแบบพิเศษ แต่จำนวนมือที่รับรองในสภาก็ไปต่อไม่ได้ ถ้ากระแสสังคม เสียง และมือนอกสภา คะแนนเสียงจากประชาชน ไม่ไว้วางใจรัฐบาล สารพัดคำถามไม่ไว้วางใจที่ถูกนำมาอภิปรายในสภาทั้งหมด รัฐบาลตอบไม่ได้ ตอบไม่ครบ ตอบไม่ตรงคำถาม เน้นอ่านตามโพยที่ข้าราชการประจำเขียนฝากมาให้ กระแสสังคมไม่มีทางยอมรับได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลแน่นอน
นายอนุสรณ์ ระบุว่าวิกฤติศรัทธาที่กระทบต่อการบริหารงานของรัฐบาลอย่างน้อย 5 ด้านที่พิสูจน์ฝีมือรัฐบาลว่าไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาได้ คือ 1.สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 2.การแสดงพลังของนิสิต นักศึกษา ประชาชน คนรุ่นใหม่ ที่ขยายวงออกไปเป็นไฟลามทุ่ง
3.วิกฤติการเมืองที่ปล่อยให้มีการใช้สารพัดวิธี ในการดูดส.ส.ย้ายพรรค เปลี่ยนข้าง ย้ายขั้ว แบบไร้ธรรมาภิบาล ฝืนเจตนารมณ์ของประชาชนที่เลือกมา 4.ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ส่งออกพัง ท่องเที่ยวทรุด หนี้ครัวเรือนสูง กำลังซื้อหด ความเหลื่อมล้ำพุ่ง คนว่างงานสูง ตลาดหุ้นพัง สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ 5.ปัญหาวิกฤติสภาวะแวดล้อม ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปัญหาภัยแล้ง
หนุนชงสภาเปิดเวทีรับฟังเสียงนศ.
ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรค พปชร. ตอบข้อถามผู้สื่อข่าวกรณี ส.ส.พปชร. เตรียมตั้งญัตติให้มีการรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน นิสิต และนักศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ว่าเป็นเรื่องที่ส.ส.ของพรรคเสนอต่อสภาเพื่อดำเนินการรับฟังฝ่ายเห็นด้วยและฝ่ายเห็นต่าง เพื่อให้ได้มีเวทีเอาข้อมูลมาพูดคุยกัน เป็นความตั้งใจของพรรค พปชร.ที่จะรับฟังข้อขัดแย้ง เชื่อว่าคนไทยเราถ้ารับฟังกันให้มาก มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยใช้ข้อเท็จจริงพูดคุยกัน จะลดผลกระทบของความขัดแย้งลงได้ ถือเป็นทางออกที่ดีของทุกความขัดแย้ง
เชื่อไม่เอาเรื่องส.ส.ย้ายมารวมปรับครม.
นายสนธิรัตน์ กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าเรื่องการปรับ ครม.ในช่วงนี้มีข่าวค่อนข้างเยอะ เรื่องนี้มีการพูดกันไปในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบสื่อมวลชนว่ายังไม่มีการปรับแต่อย่างใด ดังนั้นทุกอย่างที่พูดกันสุดท้ายต้องให้เกียรตินายกฯ ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ ถึงอย่างไรต้องฟังนายกฯ
ส่วนที่ถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคมีส.ส.เพิ่มขึ้น จะมีผลต่อการพิจารณาหรือไม่นั้น คิดว่าเราคำนวณกันไปเอง และคาดกันไปว่าจำนวนจะเป็นสิ่งที่มีผล แต่นั่นเป็นการคาดเดา หรือประเมินสถานการณ์ไป ทั้งหมดยังไม่มีการพูดคุยกันในสิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงการคาดเดาของสื่อมวลชนจนมีการพูดกันไป อย่างไรก็ตามเชื่อว่ารัฐบาลยังจะเดินไปข้างหน้า สามารถหาวิธีในการแก้ไขประเทศ ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นในเรื่องของการปรับ ครม. ให้นายกฯ เป็นผู้พิจารณา
“คิดว่าท่านน่าจะไม่ได้เอาเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในการย้ายเข้าย้ายออกมาเป็นประเด็น ผมไม่ทราบจริงๆ อย่าเพิ่งคาดเดาไปล่วงหน้า เพราะยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนที่ถามว่ากังวลใจหรือไม่จากกรณีที่นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม ระบุถึงสาเหตุที่ตัวเองมีข่าวลือจะถูกปรับ ครม.เพราะไม่มีส.ส.ในมือนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงความคิดเห็นที่ต่างกัน คิดว่าเรารับฟังกันได้ แต่ไม่น่าก้าวล่วงนายกฯ ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ รอให้ท่านได้ตัดสินใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือจะเดินหน้าอย่างไรก็ให้ฟังจากนายกฯ เท่านั้น
“บิ๊กตู่"แจ้ง“พรรคร่วม”ปรับครม.
วันเดียวกัน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าหลังเสร็จสิ้นการลงมติการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ เรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปหารือที่ห้องรับรองรัฐสภา โดยส่งสัญญาณไปยังพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่ายังไม่ทราบ และยังไม่ได้ยินข่าวดังกล่าว ในช่วงวันดังกล่าวนายกฯ ได้พูดคุยและขอบคุณทุกคนที่ลงคะแนนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
แหล่งข่าวจากพรรคร่วมรัฐบาลเปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้บอกบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทุกคนว่าจะมีการปรับครม. แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไร และระบุด้วยว่าจะไม่ปรับโควตาในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล พรรคใดดูแลกระทรวงไหนอยู่ ก็จะได้ดูแลต่อไปเหมือนเดิม เพียงแต่ให้แต่ละพรรคไปพิจารณาเป็นการภายในเองว่าจะปรับเปลี่ยนตัวบุคคลอย่างไรหรือไม่ ซึ่งการปรับครม.ครั้งนี้ ถือเป็นการปรับครม. รูปแบบแปลกใหม่ ไม่เหมือนการปรับ ครม.ทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
เดือดเหมือนถูกวิปฝ่ายค้านหลอก
นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการประชุมสภาเพื่อลงมติไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ รวมทั้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องหรือไม่ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยมีเพียงส.ส.บางส่วนของพรรค พท.ที่เข้าร่วมประชุมว่า ตนก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมในวันดังกล่าวเพราะหลังจากที่พรรคร่วมฝ่ายค้านประชุมในคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ และมีมติที่จะไม่เข้าร่วมเป็นองค์ประชุมและร่วมลงมติในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นั้น
ทางแกนนำได้แจ้ง ส.ส.ผ่านทางกลุ่มไลน์ให้สมาชิกกลับบ้านได้เลย ส.ส.ส่วนใหญ่ก็กลับบ้านกันหมด พอเช้าวันที่ 28 กุมภาพันธ์ กลับไลน์มาแจ้งใหม่ว่าส.ส.ท่านใดที่ประสงค์อยากจะร่วมประชุมสภาก็กลับมาร่วมได้ตามสะดวก "ผมเป็นคนซื่อ แจ้งให้กลับก็กลับ พอถึงเวลาก็มาพูดกลับไปกลับมาแบบนี้ มีเพียงส.ส.ส่วนน้อยที่อยู่ในกลุ่มของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่ไม่ขาดประชุม แต่ ส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรคต้องขาดประชุม ทั้งๆ ที่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลถือเป็นการประชุมสำคัญ แต่พวกตนกลายเป็นคนที่ขาดประชุมเสียเอง ซึ่งไม่เคยมีประวัติการขาดประชุมสภาเลย
ดังนั้นปัญหานี้จะต้องมีการพูดคุยกันในการประชุม ส.ส.ของพรรคในวันที่ 3 มีนาคมนี้ เพื่อหารือและกำหนดทิศทางการทำงานให้ชัดเจน ไม่ใช่คนหนึ่งพูดอย่างนี้ คนนี้พูดอย่างนั้น ไม่รู้ว่าต้องฟังใคร ได้คุยกับส.ส.อีสานหลายคน ส่วนใหญ่ต่างไม่สบายใจและไม่พอใจเรื่องที่เกิดขึ้น ผมเองก็ไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นกัน เพราะผมก็เป็นหนึ่งในวิปฝ่ายค้านกัน แต่กลายเป็นวิปที่ไม่มีราคา วิปกระจอก เหมือนถูกหลอก ผมไม่เคยขาดประชุมเลยก็ต้องมาขาด งานนี้คงต้องมียำใหญ่ใส่สารพัด ถึงเวลาแล้วที่พรรค พท.ต้องปฏิรูปเพื่อเป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชน” นายสมคิด กล่าว
ปชป.พร้อมชงข้อมูลกมธ.แก้รธน.
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ว่าพรรคได้รับหนังสือด่วนที่สุดจากประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อขอรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อไปประกอบการพิจารณาญัตติให้เกิดความสมบูรณ์และมีความครอบคลุมในทุกเนื้อหาสาระนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดดังกล่าวรับฟังความคิดเห็นอย่างหลากหลาย ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นกรรมาธิการชุดดังกล่าวจำนวน 5 คน ก็จะเป็นช่องทางหลักในการสะท้อนแนวคิดของพรรคเพื่อนำส่งข้อมูลเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ
ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคถือว่าเป็นวาระที่สำคัญตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้าร่วมรัฐบาลและเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่สำคัญดังนั้นการตั้งต้นในการศึกษาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้ใช้กลไกของรัฐสภาเดินหน้าต่อ และพรรคจะนำส่งข้อมูลสำคัญต่างๆ เหล่านี้ผ่านกรรมาธิการต่อไป อยากเรียนว่าขอให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันใช้กลไกนี้ในการเริ่มต้นเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีส่วนไหน หมวดไหน มาตราไหน ที่เห็นว่าควรแก้ไขเพื่อนำไปสู่ความสมบูรณ์ในระบบประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้นก็จะต้องสะท้อนความคิดเห็นมุมมองต่างๆ สู่คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดดังกล่าวให้มากที่สุดต่อไป
เตรียมนัดประชุมใหญ่7มีนาคม
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า พรรคประชาธิปัตย์เตรียมจัดประชุมใหญ่สามัญ โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค มีหนังสือเชิญกรรมการบริหารพรรค อดีตหัวหน้าพรรค อดีตเลขาธิการพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีของพรรค หัวหน้าสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่น รวมถึงสมาชิกพรรค เพื่อร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 ซึ่งมีวาระการรายงานการดำเนินการของพรรค รับรองงบการเงิน โดยจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 7 มีนาคม เวลา 09.30 น. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้น ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร
“วาระที่สำคัญคือจะมีการประชุมพูดคุยถึงแผนงานและโครงการที่พรรคจะดำเนินการ รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ สำหรับปีต่อไป รวมถึงการส่งเสริมให้มีส่วนร่วมของภาคประชาชนในทางการเมือง ซึ่งในเรื่องนี้พรรคจะมุ่งเน้นให้พี่น้องประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคมากยิ่งขึ้นในหลากหลายช่องทางทั้งส่วนกลางและในต่างจังหวัดด้วย” นายราเมศ กล่าว
เสร็จแล้วห้องประชุม“สุริยัน”850ที่นั่ง
วันเดียวกัน นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการก่อสร้างรัฐสสภาแห่งใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของห้องประชุมใหญ่สภาผู้แทนราษฎร หรือที่เรียกว่าห้อง “สุริยัน” ว่าขณะนี้ในส่วนของการสร้างภายในห้องประชุมรวมถึงระบบอิเล็กทรอนิกส์ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งภายในห้องประชุมใหญ่สภาผู้แทนราษฎร มีที่นั่ง 850 ที่นั่ง สามารถรองรับการประชุมร่วมรัฐสภา (ส.ส., ส.ว.) จำนวน 750 คนได้ โดยห้องประชุมนี้สามารถใช้ได้ทันทีที่เปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม-18 กันยายน 2563
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่รวมตัวประท้วงต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยในวันจันทร์ที่ 2 มีนาคมนี้ จะมีอย่างน้อย 3 กิจกรรม เริ่มจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ มีการจัดกิจกรรมแฟลชม็อบ นครสวรรค์ เริ่มตั้งแต่เวลา 17.00 น. ณ ลานหน้าหอวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ (ในเมือง) ซึ่งนักศึกษาได้เชิญชวนชาวนครสวรรค์ให้ออกมาชุมนุม โดยระบุว่าทุกท่านที่ไม่ยอมจำนนต่อระบอบ คสช. อย่ากลัวที่จะคิด อย่ากลัวที่จะพูด อย่ากลัวที่จะทำ จัดโดยกลุ่มนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
ขณะที่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา นักศึกษาจัดกิจกรรม “#มรย_ขออยู่เคียงข้างประชาชน #มรย_ไม่ทนอยู่กับเผด็จการ” โดยเป็นกิจกรรมแสดงพลังของนักศึกษา เริ่มตั้งแต่เวลา 17.00 น. ณ ลานเขาควาย มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมของนักเรียนขาสั้นโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี ในกิจกรรม “#เพราะการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน” เริ่มตั้งแต่ 17.00 น. นักเรียนจะรวมพลบริเวณลานอเนกประสงค์และร่วมเขียนความรู้สึกลงบนกระดาษโพสต์อิท และแปะลงบนบอร์ดแห่งความหวัง จากนั้นจะมีการไฮด์ปาร์ก, ร่วมกันร้องเพลง “Do you hear the people sing?” และเพลง “ดอกไม้จะบาน” และส่งต่อไฟแห่งปัญญา ศรัทธา และความยุติธรรม ก่อนแยกย้ายกันเดินทางกลับ