
โรคทรัพย์จาง
ถ้าถอดเรื่อง ประหยัด ออกไป เวลาเจ็บป่วยบางครั้ง คนก็ถือเอาความสะดวกเป็นที่ตั้ง เลี่ยงจะไปพบหมอ ให้เภสัชกรตามร้านยาทั่วไปจัดเป็นชุดๆ กะว่ากินไม่กี่วันคงดีขึ้น
เคยสังเกตมั้ย โรคธรรมดาๆ สามัญ บางทีก็หายบางทีก็ไม่หาย เอาแน่ไม่ค่อยจะได้ ชาวบ้านเองก็พร้อมจะให้อภัย ไม่ติดใจอะไรมากมาย
ต่างกับการไปพบหมอที่โรงพยาบาล ถ้าเกิดไม่หายหรือไม่ทุเลา ผมเห็นหลายคนกล่าวหาว่าหมอ “เลี้ยงไข้” โดยไม่รู้ว่าต้นตอจริงๆ คืออะไร?
เพื่อนเภสัชบอกว่าสาเหตุมีเยอะ ไล่ตั้งแต่การบอกอาการไม่ครบไม่ถูก การกินยาขาดๆ หายๆ หรือหยุดทันทีเมื่อทุเลาก่อนหมอสั่ง ลามไปถึงเชื้อโรคเก่งเกินตัว กลายพันธุ์ซะดื้อๆ
เหล่านี้ ต่างก็เป็นปัจจัยของการรักษาที่ไม่ได้ผล ทำเอายืดเยื้อได้ ทางที่ดีอย่าเพิ่งตีโพยตีพาย ไม่ควรเพ่งโทษหมอให้เป็นบาปติดตัว
สำคัญที่สุด…ถ้าไม่ได้วินิจฉัยกันจริงๆ จังๆ ก็จะเข้าไม่ถึงต้นทาง หรือบางโรคก็ต้องทำใจยอมรับว่ายาเป็นเพียงเครื่องช่วยระงับหรือรักษาไปตามอาการที่ปรากฏ ซึ่งเป็นปลายสายเท่านั้น
พูดถึงโรคภัยไข้เจ็บ ในทางการเงินมีอยู่โรคหนึ่งที่คนไทยเป็นกันมากๆ เรียก “โรคทรัพย์จาง” ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าใครบัญญัติแต่ความหมายชัดดี เคยเอามาพูดล้อเล่นกับเพื่อนบ่อยๆ
โชคดีที่โรคนี้ไม่ได้ถ่ายทอดทางดีเอ็นเอ เป็นโรคเฉพาะตน ตัวใครตัวมัน ลูกเป็นพ่อแม่อาจไม่เป็นก็ได้ ไม่อย่างนั้นโลกคงแย่กว่านี้ เพราะคนติดเชื้อจะหลายเท่าทวีคูณ
ด้านดีกรีความแรง ผมว่ามีหลายระดับ ถ้าเป็นแต่เนิ่นๆ ก็พอมีทางรักษาให้หายขาด แต่หากทิ้งไว้นานๆ หรือปล่อยให้เชื้อดื้อยาแล้ว การรักษาจะยากหน่อย คนไข้ต้องร่วมด้วยช่วยกันอีกแรง
อาการของคนเป็นที่เห็นกันบ่อยๆ คนไข้จะหงุดหงิด รำคาญใจง่าย ชีวิตติดขัด ทำอะไรก็ไม่คล่องตัว เกิดภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง อารมณ์แปรปรวน กระทบต่องาน ชีวิต และครอบครัว
เมื่อเป็นแล้ว คนไข้ส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้ยาแรงแบบเห็นผลทันที จึงตัดสินใจยืมเพื่อน หรือกู้นอกระบบ ดอกไม่สน แพงก็เอา กะว่ามาหมุนใช้ก่อน
ผมเรียกยาประเภทนี้ว่า “สเตียรอยด์” คือได้ผลชะงัด มหัศจรรย์สุดๆ ทรัพย์ที่จางก็มีขึ้นมาใหม่ทันตา แต่ก็ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ เผลอแป๊บๆ อาการเงินสะดุดต้องวกกลับมา ขืนปล่อยไปเรื่อยๆ จะยิ่งแย่ใหญ่
หนำซ้ำ ผลข้างเคียงเยอะด้วย หลายคนซวยหนัก ไม่เป็นอันกินอันนอน จากสเตียรอยด์ประเภทนี้ เมื่อถูกทวงมากเข้า ก็ต้องหนี บางคนอาจโดนทำร้าย ถึงกับตายเลยก็มี
อยากรักษากันจริงๆ ต้องวินิจฉัยและแก้ให้ถูกต้นทางของโรค ธรรมชาติของคนมีจิตไหลไปในทางเสื่อม มีกิเลสเป็นเครื่องเร้า มีเงินเป็นวัตถุสนองระบบทุนนิยม การเยียวยาจึงต้องลงเข้าไปลึกถึงรากเหง้า โดยการปรับทัศนคติในการใช้ชีวิตใหม่ ยึดความพอเพียง ไม่โลภ
ต้องแยกให้ได้ระหว่าง “จำเป็น” และ “ต้องการ” และต้องเป็นสุข “พอประมาณ” แต่ “ไม่เกินตัว” ฝึกทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นานเข้าผมว่าเป็นการใช้ธรรมชาติบำบัดดีๆ นั่นเอง ไม่ต้องพึ่งยา เชื้อโรคก็จะค่อยๆ หมดไป และถึงขั้นหายขาดได้ในที่สุด
ทัศนะของผม การปล่อยให้เชื้อตายอย่างเดียวยังไม่พอ ทางที่ดีต้องเพาะภูมิคุ้มกันให้ตัวเองด้วย โดยการเก็บเงินเก็บทอง กันสำรองยามฉุกเฉิน และไว้ใช้ช่วงบั้นปลายขณะเป็นไม้ใกล้ฝั่ง
อุปมาก็เหมือนการที่หมอแนะนำให้เราต้องออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี สร้างรั้วล้อมป้องกันโรคภัยต่างๆ ที่จะเข้ามาถึง พร้อมๆ กับหมั่นตรวจสุขภาพการเงิน เหมือนกับที่ตรวจสุขภาพประจำปีด้วย
ทำแบบองค์รวมซะขนาดนี้ เชื่อผมมั้ย “เชื้อโรคทรัพย์จาง” ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตล่ะครับ
ชัยพล กฤตยาวาณิชย์ [email protected]



