
ประหาร2เสธ.เครือข่าย"บังรอน"เจ้าพ่อค้ายา
ประหารเสธ.เอ้ - เสธ.หยวก ร่วมเครือข่ายบังรอน ผลิต-ค้ายาบ้า 23 กก. ศาลปรานีเสธ.หยวก เหลือจำตลอดชีวิต พ่อ กับทนายความ ต้องเข้ามาปลอบเตรียมยื่นอุทธรณ์
(16ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 806 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.30 น. ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 3 เป็นโจทก์ฟ้อง พ.อ.พิสิษฐ์ หรือกฤตนัย หรือภัทระ หรือธีรวุฒิ อมรวิสัยสรเดช หรือเสธ.เอ้ และ พ.ท.สุรยุต สังข์เทพ หรือเสธ.หยวก สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 - 2 ตามลำดับ ในความผิดฐาน สมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้กระทำความผิดตามที่สมคบกันแล้ว ตาม พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรค 2 และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2532 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้อง ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อประมาณ 2539 - 8 พ.ย. 40 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสอง กับนายประเสริฐ สินบัณฑิต กับพวกรวม 3 คน ที่ศาลจังฉะเชิงเทรา พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ร่วมกับนายเศรษฐนันท์ สิริจิระสุข หรือ เกาไฉ้หลุน และพวกที่ยังหลบหนี ได้สมคบกันมีเมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้าชนิดผงน้ำหนัก 23,784 กรัม ประมาณ 23.7 กก.เศษ ราคาประมาณ 40 ล้านบาท พร้อมอุปกรณ์การผลิตยาบ้า รวม 116 รายการ กระทั่งวันที่ 8 พ.ย. 40 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายประเสริฐ กับพวกได้ พร้อมกับยาบ้าและของกลางจำนวนมาก ได้ที่บ้านเลขที่ 316 ต.ท่ากระดาน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดี ต่อมาจำเลยทั้งสองได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน บช.ปส. และให้การปฏิเสธโดยตลอด
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้ง 2 ฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า โจทก์มีนายเศรษฐนันท์ สิริจิระสุข หรือ เกาไฉ้หลุน เครือข่ายยาบ้าของนายสุรชัย เงินทองฟู หรือบังรอน นักค้ายาเสพติดระดับโลก และเครือข่ายส่งยาบ้าให้นายสุภาพ สยามทรัพย์วรสิทธิ์ หรือภาพ 70 ไร่ นักค้าย่านคลอแงเตย จำเลยคดีค้ายาเสพติดที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่สองสมคบกันโดยร่วมกับตนผลิตยาเสพติด ที่บ้านเช่า หมู่บ้านกฤษดานคร 19 จ.ปทุมธานี ซึ่งต่อมาย้ายสถานที่ผลิตมาที่บ้านพักของบิดา มารดาภรรยาของนายเศรษฐนันท์ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทราที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดยาบ้า พร้อมอุปกรณ์จำนวนมาก โดยจำเลยที่ 2 มีหน้าที่หาน้ำยาเคมี เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งนำรถยนต์ของทางราชการมาขนย้ายยาเสพติด นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังเคยให้ความช่วยเหลือนายเศรษฐนันท์ คดียาบ้า ที่ จ.ชลบุรี โดยให้บิดาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่เป็นคนเจรจาต่อรองกับนายตำรวจ อีกทั้งโจทก์ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส.ที่ เดินทางไปรับตัวนายเศรษฐนันท์ ที่ประเทศไต้หวัน เบิกความยืนยัน ว่านายเศรษฐนันท์ให้การรับสารภาพ ว่า เคยนัดจำเลยทั้งสอง กับเพื่อนชาวฮ่องกงไปวางแผนการผลิต และค้ายาบ้าหลายครั้งที่ห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว และ สาขารามอินทรา โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำ และความสัมพันธ์ของนายเศรษฐนันท์ กับจำเลยทั้งสอง โดยเชื่อมโยงสอดคล้องกัน และผู้ใต้บังคับบัญชาของ จำเลยที่ 1 เบิกความถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ในการค้ายาเสพติด
ศาลเห็นว่า แม้นายเศรษฐนันท์ จะเป็นผู้ร่วมกระทำผิด แต่เมื่อการผลิตและค้ายา กระทำเป็นขบวนการ และมีผู้มีอิทธิพล เข้ามาเกี่ยวข้องย่อมมีการปกปิด ซึ่งหากไม่ได้ร่วมในกระบวนย่อมจะไม่รู้ถึงรายละเอียด ดังนั้นคำให้การของนายเศรษฐนันท์ จึงถือเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ให้ ขณะที่นายเศรษฐนันท์ ก็ถูกศาลจังหวัดฉะเชิงเทราพิพากษา คดีถึงที่สุด เมื่อปี 51 ให้จำคุกตลอดชีวิต ดังนั้นหากจะเป็นคำซัดทอดก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อนายเศรษฐนันท์ โดยพฤติการณ์แห่งคดี แม้จะไม่สามารถระบุวันที่ชัดเจนได้ แต่พยานระบุเนื้อหาสาระสำคัญของคดีที่ยากจะปรุงแต่งให้จำเลยทั้งสองต้องรับโทษ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่านายเศรษฐนันท์ ร่วมกับจำเลยทั้งสองกระทำผิด
นอกจากนื้โจทก์ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ซึ่งแนะนำให้นายเศรษฐนันท์ รู้จักกับจำเลยที่ 1 ก็ยังเบิกความถึงความสัมพันธ์ของพวกจำเลย ซึ่งจำเลยที่ 1 สามารถให้คุณให้โทษได้แต่พยานก็เลือกที่จะเบิกความไปตามจริง
โดยโจทก์ ยังมีแม่บ้าน ซึ่งทำความสะอาดบ้านเช่า ที่หมู่บ้านกฤษดานคร 19 เบิกความสนับสนุนว่า ได้เข้าไปทำความสะอาดบ้านเช่าที่จำเลยทั้งสองเช่าไว้ พบ ว่ามีการใช้กระดาษ และผ้าม่าน ปิดช่องกระจก หน้าต่าง ประตูอย่างมิดชิด และพบคราบยาเสพติดสีส้มและสีขาวที่พื้นห้องน้ำชั้นล่าง รวมทั้งหยดสีขาวที่พื้นห้องที่ทำความสะอาดไม่ออก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เคยเข้ามาตรวจจค้นที่บ้านพัก ซึ่งพยานทราบว่ามีนายทหารมาเช่าไว้
เมื่อศาลพิจารณาพยานโจทก์ทั้งหมด ซึ่งส่วนหนึ่งก็มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้สืบสวนสอบสวนคดีนี้ นอกเหนือจากการรับฟังคำให้การของนายเศรษฐนันท์ และความสัมพันธ์กับนายเศรษฐนันท์กับกลุ่มจำเลยแล้ว เชื่อว่าจำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์กับนายเศรษฐนันท์ มานาน แม้โจทก์จะไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยทั้งสองครอบครองยาเสพติดดังกล่าวก็ตาม แต่จากพยานแวดล้อมก็เพียงพอได้ว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันค้ายาเสพติดตามที่โจทก์ฟ้อง ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยนั้นไม่มีน้ำหนักที่จะมาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรม ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด ฐานร่วมกันผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง แต่คำให้การของจำเลยที่ 2 มีประโยชน์บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษา พ.อ.พิสิษฐ์ หรือ เสธ.เอ้ ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี และส่ายศีรษะ กับทนายความ จนบิดาและทนายความต้องเข้ามาตบไหล่พูดปลอบใจ ว่าคดียังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้