ข่าว

ขอซูฮก กัปตันเล่า 18 ชม.อันยาวนาน รับคนไทยจากอู่ฮั่นกลับบ้าน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

กัปตันของสายการบินแอร์เอเชียที่บินไปรับคนไทยทั้ง 138 คน จากเมืองอู่ฮั่น ได้โพสต์ข้อความเล่าถึงความประทับใจหลังภารกิจลุล่วง ตลอดการทำงานอย่างหนัก 18 ชัวโมง

หลังจากที่เครื่องบินของสายการบินแอร์เอเชียได้เดินทางไปรับคนไทย 138 คนจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และกลับถึงสนามบินอู่ตะเภา ประเทศไทยอย่างปลอดภัยเมื่อเวลา 20.40 น. วานนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2563)

อ่านข่าว : คนไทยในอู่ฮั่น 138 คน ถึงแล้ว ย้ำไม่ใช่คนป่วย

อ่านข่าว : รัฐบาลขอบคุณจีน อำนวยความสะดวก นำคนไทยจากอู่ฮั่นกลับบ้าน

 

ขณะเดียวกัน กัปตันของสายการบินแอร์เอเชียที่บินไปรับคนไทยทั้ง 138 คน จากเมืองอู่ฮั่น ได้โพสต์ข้อความเล่าถึงความประทับใจหลังภารกิจลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ 

 

ผมไม่ใช่ฮีโร่

 

หลายคนที่รู้จักผม ตอนเช้าของวันที่ 4 คงรู้แล้วว่า ผมเป็นคนบินไปรับคนไทยในหวู่ฮั่น (WUH) เพราะสื่อต่างๆ ออกข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะมากและเผอิญมีภาพบางภาพในข่าว มีติดรูปผมไปด้วยทั้งที่ตามแผนของคณะทำงาน ที่มีกระทรวงต่างประเทศเป็นแม่งาน ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

 

สั้น เงียบ ใช้คนน้อยสุด คือสิ่งที่ตกลงกันไว้ แต่อย่างว่า บางอย่างก็เหนือการควบคุม

 

ตอนไวรัสโคโรน่าเริ่มระบาด ทางด่านควบคุมโรคดอนเมืองได้ทำงานร่วมกับสายการบินในการตรวจคนที่มาจาก WUH อย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ข่าวจะดังเสียอีก สายการบินเราจากปกติที่ทำการฆ่าเชื้อตามวงรอบ ก็มาทำถี่ขึ้นและกลายทำทุกเที่ยวบินทันที ที่กลับจาก WUH ก่อนนำไปใช้ต่อ ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องเราสะอาดแน่ๆ สำหรับ ผู้โดยสารทุกคน การตรวจผู้โดยสารมีเฉพาะขาเข้าแต่เราคิดว่า ไม่พอ และเป็นปัญหาที่ปลายทาง ถ้ามีคนที่มีไข้ แม้ไม่ได้เป็นไข้หวัดหวู่ฮั่นก็ตาม รวมทั้งเราต้องการความมั่นใจว่า ผู้โดยสารคนอื่น รวมทั้งน้องๆ พนักงานของเราจะปลอดภัยในการโดยสารกับเรา ทีมงาน Exit Screen จึงเกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก ด้วยความร่วมมือของน้องๆ นักบินที่เป็นหมอ น้องๆ ลูกเรือที่เป็นพยาบาลโดยหัวหน้าลูกเรือคนสวยและทีมในแผนกเป็นกำลังหลัก security GS รวมทั้ง Safety ด้วย

 

'หมอป๊อก' กับทีมแพทย์ 4 คนที่เป็นนักบินของเรา ทั้งเป็นกำลังหลักในการตรวจและทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้น้องๆในทีม ก็ไม่สามารถมาได้ทุกวัน เพราะเราต้องทำระยะยาว ผมเลยเรียนปรึกษา CEO เพื่อที่จะจ้างพยาบาลมาช่วย ระหว่างนั่งทำงานรอ 'ครูม้ง' ซึ่งเป็น HFO ของเราเดินมาหาบอกว่า CEO เรียกพบ

 

'พี่ต๊อก' บอกว่า "เราอาจต้องทำเที่ยวบินรับคนไทยจาก WUH มึงว่าไง" ม้งพูดกับผมระหว่างเดินไปห้องทำงาน CEO

 

"กูกำลังคิดเรื่องนี้พอดีว่าทำไมรัฐบาลไม่เอาคนออกมา ไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวกูบินเอง" ผมบอกกะม้ง

 

"งั้นมึงกับกูบินด้วยกัน จะได้ตัดปัญหา ไม่ต้องเอาคนอื่นไปเสี่ยง" ม้งบอกผมก่อนเข้าห้อง CEO

 

'พี่รบ' ขอความร่วมมือมาให้เรารับคนไทย จากหวู่ฮั่นพี่ว่าไง พี่ต๊อกเอ่ยขึ้น

 

"พร้อมครับ" ม้งตอบ เดี๋ยวผม 2 คนบินเอง น้องลูกเรือก็ไม่น่ามีปัญหา งั้นผมตอบตกลงเขาไปนะ น่าจะประมาณวันที่ 1-2 เราพร้อมนะ "พร้อมครับ" เราตอบพร้อมกัน

 

วันรุ่งขึ้น ม้ง ผม และหัวหน้าลูกเรือ โดนเรียกให้ไปประชุมด่วนกับคณะทำงานของรัฐบาลที่มีทั้งทีมแพทย์ ท่าฯ ตม.ทหาร ที่กรมกงสุล เราแบ่งหน้าที่กันทำตามความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย ส่วนวันเวลานั้น รอคอนเฟิร์มจากจีน ขอให้เป็นความลับนะ ท่านอธิบดีบอก ก่อนเลิกประชุมผมเหลือบไปเห็นไลน์เด้งขึ้นมาเลยตอบไปว่า ไม่ลับแล้วล่ะครับ มีการแถลงแล้วว่า ไปวันที่ 1 ทุกคนในห้องถอนหายใจดัง เฮ้อ…

 

คนจะไปยังไม่รู้เลย ว่าจะไปวันไหน ผมคิดในใจ เมื่อข่าวมันออกไปว่าแน่นอน แอร์เอเชียเป็นคนไปรับคนไทย นักบินในกลุ่มไลน์ต่างเสนอตัวที่จะไปทำหน้าที่นี้ จริงๆ เขาคุยกันก่อนหน้านั้นแล้วล่ะว่า ถ้ารัฐบาลให้เราทำ หลายคนเสนอตัวที่จะทำ โดยไม่รับเงินค่าบิน บางคนหลังไมค์มาก็มี ผมก็ตอบทีเล่นทีจริงว่าให้ลงชื่อไว้ เราทำจริงๆ ผมจะได้ไม่ต้องหาให้ยาก ปรากฏว่า มีคนสมัครทั้งหน้าไมค์หลังไมล์แป๊บเดียวเกือบ 20 คู่ ผมเลยต้องบอกว่า ผมพูดเล่น ยังไม่ความคืบหน้าว่าเราจะทำมั้ย

 

วันอาทิตย์ที่ 2 เราโดนเรียกเข้าประชุมวางแผนละเอียดอีกครั้ง หลังได้รับไฟเขียวจากจีนว่าคือวันที่ 4 การนัดหมายโหลดของการเดินทาง สถานที่รับตัวคนไทยถูกสรุปในวันนั้นและทุกอย่างถูกกำชับให้เป็นความลับ แต่มีคนเงยหน้ามาบอกว่าทุกคนรู้แล้วว่าเราจะไปลงอู่ตะเภา ข่าวลงแล้ว

 

วันจันทร์ที่ 3 ทางทีมแอร์เอเชีย ถูกนัดหมายให้ไปซ้อม การใส่ขุดป้องกัน (PPE) เพราะหมอบอกว่าการใส่น่ะง่าย แต่การถอดอาจทำให้ติดเชื้อได้ การซ้อมรอบเช้ายังไม่สมบูรณ์ เพราะขั้นตอนการคัดกรองผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่อง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ต้องให้ลูกเรือช่วย เราจึงต้องบรีฟกันอย่างละเอียดและเราต้องเข้าพบนายกฯ ในตอนบ่าย ก่อนที่น้องๆจะกลับไปซ้อมอีกรอบ ส่วนผมกับอั๋นแยกตัวกลับ เมื่อเรากลับมาถึงบำราศนราดูร

 

เช้าวันที่ 4 วันออกเดินทาง ซึ่งคือเวลา 07.10 น. ผมนัดลูกเรือ ทีมแพทย์ 7 คน และเจ้าหน้าที่ กต 2 คน บรีฟขั้นตอนสุดท้ายตอน 05.10 น. ใครจะรับผิดชอบอะไรตอนไหน และ chain of command ใน cabin เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปในขากลับ

 

เมื่อประตูเปิดที่ WUH ขอให้ลูกเรือเชื่อฟังคุณหมอซึ่งนำโดย ผอ.ของบำราศ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโดยไม่ตั้งใจ แต่เมื่อประตูปิดแล้ว การสั่งการเป็นหน้าที่ของหัวหน้าลูกเรือนะครับจนกว่า sign off คุณหมอถึงกลับมานำอีกครั้ง เกิดมีผู้ป่วยฉุกเฉินบนเครื่อง หมอเป็นคนสั่งการ แต่ถ้าเกิด Emergency ให้ลูกเรือเป็นคนสั่งการทั้งหมด ผมบรีฟคร่าวๆ ก่อนขึ้นเครื่อง รมต.สาธารสุขมาส่งที่เครื่อง มีการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

 

เรา Landing ที่ WUH ตอน 11.15 น. เวลาหวู่ฮั่น เรารีบกินข้าวและทำธุระส่วนตัว ก่อนที่จะบอร์ดผู้โดยสารเพราะหมอบอกหลังจากนั้น เราจะไม่สะดวกอีก เราใช้เวลาคัดกรองและบอร์ดเกือบ 6 ชม. ซึ่งยาวนานมาก ผมกับอั๋นและ Engineer เก็บตัวในห้องนักบิน น้องๆลูกเรือ ช่วยหมอในการจัดที่นั่งผู้โดยสารและออกที่นั่งให้

 

ทำไมต้องทำขนาดนั้น

1.เราต้องมั่นใจว่า คนที่อาจมีอาการ หรือติดเชื้อ ต้องถูกแยกไปนั่งต่างหาก และใช้ห้องน้ำที่แยกไว้ให้

2.คนที่มีแข็งแรงแต่อยู่พื้นที่เสี่ยงต้องนั่งอีกโซน

3.กลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มเสี่ยงน้อย จะจัดนั่งข้างหน้า

 

ผมงีบรอในห้องนักบินครับ แต่ตื่นขึ้นมาทีไร ผมก็ยังเห็นน้องๆ ทั้งหมอและลูกเรือ ทำงานด้วยความร่าเริงตลอดเวลา มีการเอนเตอร์เทนผู้โดยสารตลอดเวลา คุณคิดดูว่าในมุมของผู้โดยสารคนแรก ต้องรอคนสุดท้ายเกือบ 6 ชั่วโมง มันน่าเบื่อขนาดไหน

 

การบอร์ดอันยาวนานสิ้นสุดลง เราเริ่มขออนุญาตถอยและทำการวิ่งขึ้นสนามบินที่เคยคับคั่งไปด้วยเครื่องบินจากนานาประเทศ ตอนนี้เป็นของเราคนเดียว ขอพูดถึงทีมแพทย์ชุดนี้ เจ้าหน้าที่ กต รวมถึงน้องๆลูกเรือของเราต้องขอบอก พวกเขาสุดยอดทั้งความรู้ การเตรียมการ การทำตามแผนและนอกแผน

 

หลังจากการตรวจอันยาวนาน ตอนแรกเราจะให้ผู้โดยสารแค่น้ำ 2 ขวด แซนวิช เจลล้างมือ ซึ่งจะวางไว้ที่ที่นั่ง ก่อนจะบอร์ดผู้โดยสารเพื่อบดขั้นตอนการบริการ ในแผนจะไม่มีการบริการอาหารร้อน แต่ด้วยเวลาที่ทอดยาวออกไป ผู้โดยสารมารอแต่เช้าและไม่มีอะไรขายที่สนามบิน อาหารที่เราโหลดมาเพื่อใช้ในกรณีไดเวิร์ด ถูกนำมาใช้จนเกลี้ยง โชคดีจริงๆ ที่เราคิดถึงกรณีนี้ไว้ ตามข้อเสนอของปุ้ม หัวหน้าลูกเรือ เพราะถ้าเราไปลงสนามบินกลางทาง ในกรณีฉุกเฉินไม่มีใครให้เราลงจากเครื่องแน่ เราควรมีน้ำและอาหารสำรอง ก่อนเครื่อง Rescue จะมารับ

 

จากแผนไม่เสิร์ฟระหว่างเที่ยวบินต้องมาทำ Fulservice น้องๆลูกเรือ ต้องอุ่นอาหารแบบด่วน ทายสิครับ ใครจะเป็นคนเสิร์ฟ ทีมหมอและพยาบาลสิครับ แม้แต่ ผอ.บำราศนราดูร ก็ได้ทดลองอาชีพสจ๊วตครั้งแรก คุณหมอ พยาบาล ที่ข้างล่าง คนเรียกอาจารย์ วันนี้ต่างทำหน้าที่บริการอาหารอย่างแข็งขัน

 

เรามีหมอจิตเวช และเจ้าหน้าที่ กต ไปด้วย ทุกคนช่วยกันเอนเตอร์เทนผู้โดยสารตลอดเวลาเพื่อลดความเครียด ที่รอกลับบ้านเป็นเวลานาน ทุกคนทำหน้าที่ของตนอย่างสุดยอดจริงๆ

 

เราลงที่อู่ตะเภาและตามคาด มีคนมากมายมารอทำข่าว และคุณหมอก็ได้ทำหน้าที่สุดท้ายของตนเองบนเครื่องบิน คือ ทำความสะอาดเครื่องบิน เก็บขยะลงถุงปลอดเชื้อ พ่นสเปร์ยฆ่าเชื้อ ก่อนทีมฆ่าเชื้อของฝ่ายช่างแอร์เอเชียจำมาทำซ้ำอีกรอบ ผมไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้ผู้โดยสารผมได้นอนเมื่อไหร่ ทีมหมอและ กต ได้กินข้าวมั้ย เพราะผมแอบนำทีมลูกเรือหลบมาก่อน ผมยอมรับในหัวใจของคุณหมอ และ กต ชุดนี้จริงๆ ทำงานหนักตลอดวันอย่างมีพลังและร่าเริงตลอดเวลา ลูกเรือผมก็เช่นกัน

 

ถ้าจะมีใครถูกเรียกว่าฮีโร่ นั่นคือพวกเขาครับ ขอซูฮกทีมคุณหมอ และเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศ ทั้งสองคนด้วยใจจริง จบการทำงาน 18 ชั่วโมง อันยาวนานครับ

 

 

 

 

 

ขอบคุณเฟซบุ๊ก : Manoon Jarornloy

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ